2013-11-29

Chely Wright - Never Love You Enough



Chely Wright - Never Love You Enough
If all of my life
I try and I try
Baby I could never show you all this love I have inside
Cuz every day, when we wake
I look deep into your eyes
And I realize


I could kiss you in the rain forever
Turn all of your pain to pleasure
Fill up all your days with sunlight
Make the passion last every night
Give you my every possession
Make you my only obsession
Climb up to the sky and pull down all the stars above
But I could never love you enough

If I could have one wish
It would just be this
I could take you to my soul and show you all the love there is
Never ending sea deep inside of me
There's no stopping it
Baby even if

I could kiss you in the rain forever
Turn all of your pain to pleasure
Fill up all your days with sunlight
Make the passion last every night
Give you my every possession
Make you my only obsession
Climb up to the sky and pull down all the stars above
But I could never love you enough!

Ohhhh
No matter what I do
It's never as much as I want to
Baby it could never be enough
(Never enough)

I could kiss you in the rain forever
Turn all of your pain to pleasure
Fill up all your days with sunlight
Make the passion last every night
give you my every possession
Make you my only obsession
Climb up to the sky and pull down all the stars above
But I could never love you enough!

2013-10-14

ภาวะอ้วนกับการออกกำลังกาย

ภาวะอ้วนและประโยชน์ของการออกกำลังกาย
อาจารย์พวงผกา ตันกิจจานนท์

ความอ้วนเป็นปัญหาที่พบบ่อยมากขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน ความอ้วนเป็นปัญหาทางสุขภาพที่สำคัญและก่อให้เกิดปัญหาทางสุขภาพด้านอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ภาวะไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือดและหัวใจ ไขข้อเสื่อม มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเยื่อบุมดลูก มะเร็งต่อมลูกหมากเป็นต้น นอกจากนี้ ความอ้วนเองก็เป็นปัญหาในเรื่องความสวยความงามที่ทำให้ผู้รักสวยรักงามทั้งหลายต้องสูญเสียเงินทองในการเข้าครอสลดความอ้วน ทั้งๆ ที่เราสามารถแก้ไขปัญหาด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและเพิ่มการออกกำลังกายในการช่วยลดความอ้วนที่ทำให้มีสุขภาพแข็งแรงและไม่ต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย
คำจำกัดความ
  คำจำกัดความของความอ้วนจะใช้ค่าของดัชนีมวลกาย ( body mass Index = BMI) โดยการตรวจเช็คได้โดยการคำนวณ น้ำหนักตัวหารด้วยส่วนสูงเป็นเมตรยกกำลังสอง ( weight (kg) / height (meters)? คนไทยใช้ค่าดัชนีมวลกายไม่ควรเกิน 23 ถ้าค่าดัชนีมวลกายอยู่ระหว่าง 23-25 จะจัดว่า น้ำหนักเกิน แต่ถ้ามากกว่า 25 จัดว่าอ้วน
สาเหตุ
  ความอ้วนมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัยร่วมกัน เช่น พันธุกรรม ปัจจัยทางสรีรวิทยา ปัจจัยทางเมตาบอลิสของแต่ละบุคคล พฤติกรรมการกิน ขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรม ในการบำบัดภาวะอ้วนจึงต้องทำให้ครบในทุกๆ ด้านทั้งการควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หรือในบางรายที่อ้วนมากๆ อาจจะต้องใช้ยาหรือการผ่าตัดร่วมด้วย ซึ่งในกรณีนี้ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ ไม่ควรซื้อยาลดความอ้วนมารับประทานเอง เพราะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ดุลของพลังงาน ( energy balance)
  ดุลพลังงานของร่างกายจะประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนของพลังงานที่ได้รับ ( energy intake) และส่วนของพลังงานที่ใช้ไป ( energy expenditure) การเสียสมดุลพลังงานโดยได้รับพลังงานมากเกินจากการกินมากกว่าที่ควร หรือใช้พลังงานน้อย เช่น ขาดการออกกำลังกาย จะทำให้เกิดการเกินดุลพลังงาน ( positive energy balance) ส่งผลให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น หากเราสามารถทำให้เกิดการขาดดุลพลังงาน ( negative energy balance) อย่างต่อเนื่อง โดยการจำกัดพลังงานที่ได้รับและเพิ่มการใช้พลังงานจะทำให้น้ำหนักตัวลดลง

พลังงานที่ใช้ไป ( energy expenditure) แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ อัตราการเผาผลาญพลังงานพื้นฐานหรืออัตราการเผาผลาญพลังงานขณะพัก ( Basal or Resting Metabolic rate =BMR), พลังงานที่ใช้ในการออกกำลังกาย ( energy expended with exertion) และพลังงานที่ใช้ไปหลังการกินอาหาร

พลังงานที่ใช้ในการออกกำลังกาย( energy expended with exertion )
  พลังงานที่ใช้ในการออกกำลังกายจะรวมถึงการเคลื่อนไหวต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การเดิน การขึ้น-ลงบันได จนถึงกิจกรรมการออกกำลังกาย เช่น ว่ายน้ำ วิ่ง เต้นแอโรบิก เดิน ฯลฯ จะมีค่าความแตกต่างกันได้มากในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับวิถีชีวิตของแต่ละคนและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต

ผลกระทบของการออกกำลังกายต่อดุลพลังงาน
  จากการศึกษาผลของการออกกำลังกายต่อการกินอาหาร พบว่า การออกกำลังกายในคนที่ไม่อ้วนจะมีผลให้กินอาหารมากขึ้นเพื่อชดเชยกับพลังงานที่ใช้ไปทำให้น้ำหนักตัวไม่ลดลง แต่ในคนอ้วนการออกกำลังกายทำให้ใช้พลังงานมากขึ้น แต่ไม่มีผลให้กินมากขึ้น น้ำหนักตัวจึงลดลงจากการขาดดุลพลังงาน
การออกกำลังกายกับการลดน้ำหนักตัวร่วมกับการจำกัดอาหาร จะทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้มากกว่าออกกำลังกายอย่างเดียว หรือจำกัดอาหารเพียงอย่างเดียว เพราะว่าการออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยลดมวลไขมัน แต่ยังคงรักษามวลกล้ามเนื้อไว้ได้ ในขณะที่การจำกัดอาหารอย่างเดียวทำให้ทั้งมวลไขมันและกล้ามเนื้อลดลงไปด้วย ดังนั้น ในการลดน้ำหนักตัวที่ถูกต้องจึงควรทำควบคู่กันไปทั้งการออกกำลังกายและการจำกัดอาหาร

คำแนะนำในการลดน้ำหนักตัว
1. พฤติกรรมบำบัด ได้แก่ การพยายามปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน เช่นงดอาหารผัดทอดมัน เคี้ยวอาหารให้ละเอียด หลีกเลี่ยงขนมหวาน ขนมขบเคี้ยว ดื่มน้ำเปล่าแทนน้ำหวานหรือน้ำอัดลมเป็นต้น
  2. การออกกำลังกาย ชนิดของการออกกำลังกายที่แนะนำ คือ การออกกำลังกายแบบแอโรบิก เนื่องจากสามารถเผาผลาญพลังงานได้มากที่สุด ยกตัวอย่างการออกกำลังกายแบบแอโรบิก ได้แก่ การเดิน การวิ่ง การเต้นแอโรบิก การปั่นจักรยาน การว่ายน้ำเป็นต้น ในการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักตัว จะต้องมีความถี่ 4-5 ครั้งต่อสัปดาห์ จึงจะได้ผลและควรสม่ำเสมอ เน้นการเผาผลาญพลังงานมากขึ้นประมาณ 2,000 kcal ต่อสัปดาห์
ตารางแสดงค่าพลังงานที่ใช้ไปในการทำกิจกรรมต่างๆ นาน 30 นาที

กิจกรรม( 30 นาที )
พลังงานที่ใช้ ( kcal )
ว่ายน้ำ
180
เทนนิส(เดี่ยว)
270
เดิน ( 2 ไมล์ / ชม. )
120
เดิน ( 4 ไมล์ / ชม. )
220
วิ่ง( 5.5 ไมล์/ชม.)
375
วิ่ง( 7 ไมล์/ชม.)
500
แบดมินตัน
200
บาสเกตบอล
300
ฟุตบอล
300
เต้นรำ(ปานกลาง)
150
ทำสวน
150
โบว์ลิ่ง
310
กอล์ฟ
120

สรุป
  ความอ้วนเป็นปัญหาสุขภาพที่สามารถก่อให้เกิดผลเสียในด้านอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย เช่น โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคข้อเสื่อมและโรคมะเร็ง การลดน้ำหนักตัวเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ซึ่งการใช้หลักของดุลพลังงานของร่างกาย( energy balance) คือ ส่วนของพลังงานที่ได้รับและส่วนของพลังงานที่เสียไป จะช่วยให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย กล่าวคือ ใช้การออกกำลังกาย (พลังงานที่ใช้ไป) ควบคู่กับการจำกัดอาหาร(พลังงานที่ได้รับ) ในการออกกำลังกายที่จะช่วยในการลดน้ำหนักตัวได้ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 4-5 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละไม่ต่ำกว่า 30 นาที ชนิดของการออกกำลังกายที่เผาผลาญพลังงานได้มากที่สุด คือ การออกกำลังกายแบบแอโรบิก

....................................................

2013-09-20

Brain...ถ้าไม่อยากสมองเสื่อม...ทำอย่างไร


ถ้าไม่อยากสมองเสื่อมทำอย่างไร


ช่วงนี้เริ่มเข้าใกล้ฤดูเกษียณอายุราชการของบรรดาข้าราชการต่างๆ ในขณะเดียวกันพวกเราทุกคนก็อายุมากขึ้นทุกวัน ความเชื่อในอดีต (แม้กระทั่งในปัจจุบัน) ของพวกเราส่วนใหญ่ก็คือเมื่อเราอายุมากขึ้น

สมอง เราก็จะเหมือนกับอวัยวะส่วนอื่นๆ ของร่างกายที่เริ่มจะเสื่อมและหมดสภาพลงเรื่อยๆ อย่างไรก็ดีจากพัฒนาการใหม่ๆ ของเทคโนโลยี ในเรื่องของ brain-imaging technology ที่เริ่มจะชี้ให้เห็นในอีกมิติหนึ่งว่าจริงๆ แล้วสมองเรา ไม่ได้เสื่อมลงเรื่อยๆ จนหมดอายุ แต่จริงๆ สมองเราสามารถที่จะสร้างตัวเองหรือเซลล์ใหม่ๆ ขึ้นมาได้ตลอดเวลา

มีศาสตร์ที่น่าสนใจในด้านการศึกษาสมองที่เรียกว่า neuroplasticity ที่พบว่าสมองเราจะมีการปรับเปลี่ยนและพัฒนาอยู่ตลอดเวลา และยิ่งเราใช้สมองเราก็ยิ่งทำให้เจ้าตัวเซลล์ประสาทหรืneurons ที่อยู่ในสมองเราคงอยู่ไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเราหยุดใช้เมื่อไร เจ้าเซลล์ประสาทก็จะค่อยๆ เสื่อมลง

มีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ The SharpBrain Guide to Brain Fitness เขียนโดย Alvaro Fernandez ที่รวบรวมผลการศึกษาและวิจัยใหม่ๆ ในศาสตร์ที่เกี่ยวกับสมอง และมีคำแนะนำที่น่าสนใจเกี่ยวกับการหาทางใช้สมองเพื่อให้สมองเรามีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและไม่เสื่อมถอยลงทางเวลาที่ผ่านไป ลองมาดูข้อแนะนำห้าประการที่หนังสือเล่มนี้ให้ไว้นะครับ เผื่อท่านผู้อ่านจะสามารถนำไปปรับใช้เพื่อไม่ให้สมองเราเสื่อมได้



ประการแรก คืออย่าหยุดเรียนรู้ครับ มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่ายิ่งคนมีการศึกษาสูง จะยิ่งมีโอกาสน้อยในการที่สมองจะเสื่อมลงตามอายุ ทั้งนี้เนื่องจากผู้ที่มีการศึกษาสูงมักจะทำงานหรือมีงานที่ท้าทายและกระตุ้นสมองให้ต้องคิดอยู่ตลอดเวลา ยิ่งถ้าเรามีงานที่ท้าทายและกระตุ้นสมองอยู่เป็นประจำก็จะยิ่งจะเป็นการสร้างเซลล์ประสาทใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา

ประการที่สอง คือให้เรียนรู้ในวัฒนธรรมใหม่ๆ ครับ อาทิเช่น การเรียนภาษาใหม่ๆ ถ้าจะให้ดีต่อสมองยิ่งขึ้น ควรจะเรียนรู้ในภาษาที่มีความแตกต่างจากภาษาเดิมของเราหรือภาษาไทยมากๆ นะครับ ยิ่งเรียนภาษาที่มีความแตกต่างจากภาษาของเรามากก็จะยิ่งท้าทายต่อสมองเพิ่มขึ้นครับ นอกจากการเรียนรู้ภาษาใหม่แล้ว การมีโอกาสไปทำงานในต่างประเทศหรือไปอยู่อาศัยหรือไปเที่ยวต่างประเทศในระยะเวลาสั้นๆ ก็ช่วยพัฒนาเซลล์ประสาทในสมองครับ การที่จะต้องไปศึกษา และปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม วัฒนธรรมใหม่ๆ ที่เปลี่ยนไป จะทำให้เราต้องเอาใจใส่ต่อสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ก็เป็นหนึ่งในวิธีการบริหารสมองครับ

ประการที่สาม คือการตั้งเป้าหมายในการทำงานที่ท้าทายหรือที่ฝรั่งเรียกว่า Stretch Goals ครับ หลายครั้งพอพบเจอเป้าที่ท้าทายมากๆ เรามักจะท้อถอยหรือหมดกำลังใจ แต่จริงๆ แล้วถ้าเรามีเป้าหมายที่ท้าทายกลับจะยิ่งทำให้เราต้องเผชิญกับความท้าทายที่มากยิ่งขึ้น และความท้าทายที่มากขึ้นก็มักจะทำให้เราต้องทำในสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อนเพื่อให้บรรลุเป้าที่ท้าทายดังกล่าว การที่ต้องเผชิญกับสิ่งใหม่ๆ ที่หลากหลายและแตกต่างจะส่งผลต่อการพัฒนาสมองเรามากขึ้น มีงานวิจัยหลายงานที่ชี้ให้เห็นอีกครับว่าการที่เรามีแต่ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน หรือเก่งแต่เฉพาะในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ไม่ส่งผลดีต่อสมองเราในระยะยาว

ประการที่สี่ คือการที่รู้จักบริหารความเครียดที่ดีครับ การมีความเครียดที่มากเกินไปไม่ว่าความเครียดดังกล่าวจะเกิดจากปัจจัยภายนอกหรือความคิดเราเองก็จะทำลายเจ้าตัวเซลล์ประสาทในสมองเราและทำให้ไม่สามารถสร้างเซลล์ประสาทใหม่ขึ้นมาได้ครับ

ประการสุดท้าย คือการมีเพื่อนมากๆ ครับ เพราะการที่เรามีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมหรือ Social Engagement ยิ่งช่วยทำให้สมองเราสุขภาพดีขึ้นครับ การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นจะส่งผลให้การทำงานของสมองเราดีขึ้น ซึ่งก็มีข้อสงสัยอีกครับมีเพื่อนจำนวนเท่าไหร่ถึงจะเหมาะ ก็มีการศึกษาอีกครับและพบว่าจำนวนเพื่อนที่สมองเรานั้นสามารถที่รับและประมวลได้ดีที่จำนวน 150 คนครับ (มีการตั้งชื่อตามนักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบไว้ว่า Dunbars number)

ท่านผู้อ่านจะเห็นได้นะครับว่าวิธีการทั้งห้าประการในการทำให้สมองเรามีการเปลี่ยนแปลง พัฒนาตลอดเวลา และไม่เสื่อมไปตามวัยนั้น นอกเหนือจากจะช่วยสมองเราแล้วยังมีส่วนช่วยต่อความก้าวหน้าในการทำงานด้วยอีกนะครับ ไม่ว่าจะเป็นการเรียน รู้ทักษะใหม่ๆ การเรียนรู้ภาษาใหม่ๆ การตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย การบริหารความเครียดที่ดี หรือ แม้กระทั่งการมีเพื่อนและเครือข่ายที่มาก ล้วนแล้วแต่มีส่วนช่วยในการทำงานด้วยเช่นกันครับ 

สมองเรา จะมีการปรับเปลี่ยน และพัฒนาตลอดเวลา.... 

ถ้าหยุดใช้เมื่อไร เจ้าเซลล์ประสาท จะค่อยๆ เสื่อมลง....


ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ โดย รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์


2013-06-17

5 กลิ่นอาหารที่จะช่วยให้ผอม


1. กลิ่นน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ 

ผลการศึกษาจากศูนย์วิจัยเคมีอาหารของเยอรมนีพบว่า เพียงสูดกลิ่นน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ ก็สามารถทำให้เรารู้สึกอิ่มขึ้นมาได้ง่าย ๆ และยังได้ทำการทดลองใส่น้ำมันมะกอกสกัดลงในโยเกิร์ต และพบว่า คนที่รับประทานโยเกิร์ตที่ใส่น้ำมันสกัด จะมีอัตราบริโภคแคลอรี่น้อยลง และมีระดับน้ำตาลในเลือดที่ดีขึ้นกว่าคนที่กินโยเกิร์ตธรรมดา นอกจากนี้น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ยังช่วยกระตุ้นสารเซโรโทนิน ซึ่งเป็นสารที่ทำให้รู้สึกอิ่ม และยังอุดมไปด้วย MUFAs ไขมันดีที่ช่วยเผาผลาญไขมันบนหน้าท้องเราด้วย 


2. กลิ่นกระเทียม 

กลิ่นที่รุนแรงของอาหารจะทำให้เรากินอาหารได้น้อยลง ดังนั้นหากไม่อยากรับประทานเยอะเกินไป ก็ลองสั่งเมนูที่มีส่วนประกอบของเครื่องเทศกลิ่นแรงอย่าง พริก กระเทียม หอม พริกไทย หรือจะใส่เครื่องเทศเหล่านี้ลงในอาหารที่กำลังจะทานสักเล็กน้อยก็ได้



3. กลิ่นแอปเปิลเขียว และกลิ่นกล้วย 

ผลการศึกษาจากองค์กรการบำบัดด้วยกลิ่นและรสชาติพบว่า คนอ้วนที่ดมกลิ่นแอปเปิลเขียว และกล้วยในขณะที่หิวจัด จะลดน้ำหนักได้มากขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นเพราะกลิ่นหอมในระดับพอดี ๆ ของผลไม้ทั้ง 2 ชนิดนี้ ที่ทำให้ร่างกายควบคุมความอยากอาหารได้ดีกว่าปกติ ซึ่งนอกจากกล้วยและแอปเปิลเขียวแล้ว กลิ่นวานิลลาและกลิ่นเปปเปอร์มินต์ก็ใช้ทดแทนได้เหมือนกัน 

4. กลิ่นยี่หร่า 

ชาวอิตาลีใช้ยี่หร่าล้างปากระหว่างมื้ออาหารเพื่อไม่ให้ทานอาหารมากเกินไป ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของ West Coast Institute of Aromatherapy ที่บอกว่า ยี่หร่ามีสรรพคุณยับยั้งความอยากอาหาร และทำให้เรากินอาหารได้น้อยลง 


5. กลิ่นเกรปฟรุต หรือผลไม้จำพวกส้ม 

ผลไม้ตระกูลส้มเป็นผลไม้ที่คนไดเอตมักจะทานเพื่อให้น้ำหนักลด เพราะมีไลโคปีน วิตามินซี และไซตรัสสูง แต่แค่กลิ่นของมันก็สามารถช่วยลดน้ำหนักได้แล้ว โดยผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยโอกาซา ประเทศญี่ปุ่น ได้ทำการทดลองกับหนูและพบว่า หนูที่ได้กลิ่นน้ำมันเกรปฟรุต 15 นาที จะช่วยลดความอยากอาหารและทำให้น้ำหนักลดลงด้วย ซึ่งนักวิจัยเชื่อว่า กลิ่นของผลไม้จำพวกส้ม น่าจะมีผลต่อเอนไซม์ในตับเรานั่นเอง

2013-05-28

แกว่งแขนทุกวันโรคร้ายมลายสิ้น

วิธีรักษาโรคด้วยการแกว่งแขนเป็นวิธีการบริหารบำบัดอย่างหนึ่งซึ่งฝึกและยึดกุมได้ง่าย ขอแต่ให้ยืนหยัดทำประจำก็สามารถมีผลทำให้เส้นเอ็นผ่อนคลาย เลือดลมเดินสะดวก ขจัดความเจ็บปวด เสริมสุขภาพให้แข็งแรงได้ 

การบริหารแกว่งแขนมีผลดีในการรักษาทั้งโรคใหญ่ โรคเล็ก โรคเรื้อรังและโรครักษายาก การบริหารแกว่งแขนเป็นการบำบัดรักษาโรคของจีนโบราณ มีชื่อเดิมเรียกว่า "คัมภีร์ย้ายเส้นเอ็นพระโพธิธรรม" (ตั๊กม้อ)

วิธีการบำบัดแบบนี้ฝึกได้ง่าย ใช้พื้นที่ไม่มาก จะฝึกเมื่อใดที่ไหนก็ได้ทั้งสิ้น ขอแต่ให้มีความแน่วแน่และอดทน ฝึกแล้วก็เข้าใจได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นโรคใด เมื่อได้ฝึกแกว่งแขนไปแล้วประมาณ 3-5 วัน ก็จะรู้สึกว่าได้ผล ถ้าผลเกิดช้า นั่นก็แสดงว่าท่านยังทำไม่ดี ขอแต่สนใจค้นคว้าสักหน่อยให้เข้าใจชัดเจน ก็จะต้องได้ผลอย่างแน่นอน

เหตุไฉน "วิธีแกว่งแขน" จึงมีพลานุภาพใหญ่หลวงถึงเพียงนี้

ท่านควรจะรู้ว่า "การบริหารแกว่งแขน" ผันแปลมาจาก "คัมภีร์ย้ายเส้นเอ็น" ความหมายของคำว่า "ย้ายเส้นเอ็น" ก็คือการทำให้เส้นเอ็นที่อ่อนแอกลายเป็นเส้นเอ็นที่แข็งแรง เส้นเอ็นที่มีโรค กลายเป็นเส้นเอ็นที่เข้มแข็ง ทำให้ผู้ที่มีอาการป่วยอยู่ค่อยๆทุเลาเบาบางลง ผู้ที่ไม่ป่วยก็จะมีสุขภาพที่ดีขึ้น

จุดหนักของการบริหารแบบนี้ เน้นอยู่ที่นิ้วมือ ฝ่ามือ ข้อมือของแขนทั้งสองข้าง นิ้วเท้า ส้นเท้า หัวเข่าสองข้าง ผ่านการดึงเส้นเอ็น 12 เส้นของนิ้วมือ ฝ่ามือ ข้อมือ นิ้วเท้า ส้นเท้า หัวเข่าพร้อมๆกัน ทำให้เกิดการยืดหดสลับกันไป อาศัยการเคลื่อนไหวยืดหดของเส้นเอ็นเหล่านี้ ปรับเปลี่ยนความอ่อนแอเป็นความแข็งแรง จากป่วยเป็นหายป่วย จากไม่ป่วยเป็นแข็งแรง อายุยืน ทั้งๆที่ "คัมภีร์ย้ายเส้นเอ็น" มีคุณสมบัติในการรักษาที่ดีเช่นนี้ แต่ "การบริหารแกว่งแขน"กลับมีความยอดเยี่ยมไปกว่านั้นเป็นเพราะเหตุใด

การบริหารแกว่งแขน มีหลักฐานทางทฤษฏีทั้งการแพทย์จีนและการแพทย์ตะวันตก พิสูจน์แล้วว่าเกิดปฏิกิริยาที่ดี โดยเฉพาะเกี่ยวกับเลือดลมจะมีผลดีมาก อวัยวะภายในของเรานั้นจะมีเลือดมีลมพอหรือไม่ เดินได้สะดวกคล่องตัวหรือไม่เกี่ยวข้องกับความแข็งแรงหรืออ่อนแอ มีโรคหรือไม่มีโรคของคนเรา ตามทฤษฏีของแพทย์ตะวันตก ความร้อนและพลังงานในร่างกายคนเรามีส่วนสัมพันธ์อย่างใหญ่หลวงกับการเกื้อหนุนของอวัยวะภายใน เหมือนกับรถยนต์คันหนึ่ง มีน้ำมันเบนซินเผาไหม้อยู่ในกระบอกสูบจึงจะสามารถรับแรงขับดันทางพลังงานเคมี ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวผลักดันให้รถยนต์ทั้งคันเคลื่อนที่ไปได้ ถ้าปราศจากพลังงานรถยนต์ก็ไม่สามารถขับเคลื่อนไปได้

กระบวนการทางสรีรศาสตร์ของคนเราคือการคิดของสมอง การขยายและหดตัวของปอด การเต้นของหัวใจ การไหลเวียนของเลือด ตลอดจนการบีบตัวของลำไส้ กระบวนการเหล่านี้ล้วนทำให้สิ้นเปลืองความร้อนและพลังงาน ร่างกายต้องรักษาพลังความร้อนไว้ เพราะพลังความร้อนพอเพียง หน้าตาก็สดใส ถ้าไม่พอก็จะหมองคล้ำ

ที่มาของพลังความร้อน ได้มาจากอาหาร อาหารหลังจากผ่านการย่อยและดูดซึมแล้วยังไม่อาจก่อเกิดพลังความร้อนได้โดยตรง จะต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงทางเคมี เริ่มจากการหายใจเอาอ็อกซิเจนเข้าไป เพื่อให้อาหารที่ดูดซึมเข้าเส้นเลือดแล้วทำปฏิกิริยากับอ็อกซิเจนจึงสามารถเกิดพลังความร้อนขึ้นได้ ภายในเลือดคนเรานั้นมีอากาศที่รวบรวมมาจากปอด มีสิ่งบำรุงเลี้ยงที่ได้มาจากกระเพาะนำส่งไปยังเซลล์ทั่วร่างกายให้เกิดปฏิกิริยากับอ็อกซิเจนก็สามารถเกิดบทบาทเป็นพลังความร้อนได้ ในขณะเดียวกันก็นำอากาศเสียในเซลล์ทั่วตัวขับออกไปนอกตัว นั่นคือ อุจจาระและปัสสาวะนั่นเอง

ถ้าการไหลเวียนของเลือดก็ดี พลังงานดี กระบวนการทางสรีรศาสตร์ทั้งหมดของร่างกายก็ย่อมจะคล่องสะดวก ความสุขสบายของคนเราก็จะมีหลักประกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้ กำลังที่เราใช้แกว่งแขนไม่ขาดระยะจะทำให้ปอดขยายตัว เสริมการไหลเวียนของเลือด เนื่องจากการสูบฉีดของหัวใจมีสิ่งบำรุงเลี้ยงช่วยเหลืออยู่ในเส้นเลือด เสริมการส่งสิ่งบำรุงเลี้ยงและอากาศให้เข้มแข็งขึ้น ตลอดจนการขับของเสียอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการเรอ การผายลม และความร้อนที่เกิดขึ้นในร่างกายจึงได้ก่อตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นการยืนยันเป็นความล้ำเลิศของการบริหารแกว่งแขน

หลักใหญ่ของการบริหารแกว่งแขนคือ การใช้ส่วนบนเบา ล่างหนัก โบกมือเหมือนแจวเรือ ยกทวารเหมือนกลั้นอุจจาระ สองตามองตรง นับจำนวนเพื่อให้รู้ว่าทำไปแล้วกี่เที่ยว แกว่งแขนเบาๆไปข้างหน้าใช้กำลัง 3 ส่วน และใช้กำลัง 7 ส่วนแกว่งแขนไปด้านหลัง ความคิดและการเคลื่อนไหวที่ต่อเนื่องกันดังกล่าวนี้เป็นการช่วยให้ท่าทางของการบริหารแกว่งแขนบรรลุผลสำเร็จ และเพิ่มพูนประสิทธิภาพของการแกว่งแขนโดยการกระดกนิ้วมือทั้ง 10 ไปข้างหน้า และกวักมือในการแกว่งกลับมาทางด้านหลังก็จะทำให้เส้นเอ็นเคลื่อนไหวด้วยซึ่งนั่นก็จะได้ผลยิ่งขึ้น

ยังมี "ควร" อีก 16 ตัวสำหรับผู้ที่บริหารแกว่งแขนจะต้องจำไว้ให้แม่นซึ่งเราควรทำไปพลางนึกคิดถึงมันไปพลาง ถ้าลืมสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปเสียแล้วการบริหารก็จะไม่สมบูรณ์

1. บนควร "เบา" "เบา" หมายถึงว่างเปล่าไร้น้ำหนัก ไร้ทุกสิ่งทุกอย่าง อาจจะนึกคิดในใจว่าท่อนบนของเราว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง

2. ล่างควร "หนัก" "หนัก" หมายถึงหนาแน่น อาจจะคิดในใจว่า บนเบาล่างหนัก

3. หัวควร "ลอย" "ลอย" หมายถึงแขวน ให้คิดว่าคล้ายกับจะมีเชือกมัดผมเราให้คอตั้งขึ้น

4. ปากควร "เฉื่อย" "เฉื่อย" หมายถึงหุบ ควรปิดปากสนิทตามธรรมชาติ

5. อกควร "ปล่อย" "ปล่อย" ให้เหมือนสำลี ให้คิดว่าหน้าอกเบาบางไร้พลังดุจสำลี

6. หลังควร "ยก" "ยก" คล้ายกับมีอะไรใช้แรงดึงหลังท่านขึ้นไป

7. เอวควร "ตั้ง" "ตั้ง" หมายถึงอยู่กับที่ ให้คิดว่าเอวเหมือนแกนรถอยู่กับที่ในขณะที่ล้อหมุน

8. แขนควร "แกว่ง" แขนแกว่งช้าๆเหมือนพายเรือ

9. ศอกควร "ถ่วง" ศอกคือข้อศอก เวลาแกว่งแขน ให้ศอกอยู่ต่ำตลอดเวลา

10. ข้อควร "กวัก" ขณะที่แกว่งแขน ข้อมือควรจะกวักไปข้างหลัง ให้เอ็นที่ข้อมือตึงอันจะทำให้หน้าอกผายออก
11. มือควร "วาด" "วาด" ก็คือการพายเรือ มือแกว่งไปอยู่ข้างหลังเหมือนการวาดคัดท้ายเรือ อันจะทำให้อวัยวะภายในถูกดึงให้เคลื่อนไหว อยู่ตลอดเวลา

12. ท้องควร "ตึง"ถ้าหากส่วนท้องแข็งเหมือนเหล็กก็จะทำให้เกิดความรู้สึกบนล่างหนักได้ง่าย

13. ก้นควร "หย่อน" ขาทั้งสองเหมือนหนีบเข้าหากันก็ย่อมจะทำให้ส่วนก้นหย่อนลงไป

14. ทวารควร "ดึง" "ดึง" เหมือนการกลั้นอุจจาระ ยกทวารดึงขึ้น

15. ส้นควร "กด" เมื่อก้นหย่อน เอวจะตรง ส้นทั้ง 2 ข้างจะกดหนักลง

16. เท้าควร "จิก" ใช้ความนึกคิดให้ปลายเท้าจิกลงกับพื้น ก็จะบรรลุ "บนเบาล่างหนัก" ตามธรรมชาติ

นอกจากนี้ท่านจะต้องสนใจหลักอีก 9 ประการ

1. เวลาทำการบริหารแกว่งแขนควรให้ท้องว่างจึงจะดี หลังอาหารก็ควรห่างไปสัก 2-3 ชั่วโมงจึงจะทำเพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนต่อกระเพาะอาหารและลำไส้

2. ศรีษะตั้งตรง ตามองไปข้างหน้า

3. เมื่อแรกทำคนหนุ่มสาวควรเริ่มต้นด้วยจำนวน 500 เที่ยว ผู้มีอายุ 300-400 เที่ยว วันที่สองก็แกว่งตามความพอใจเท่าที่ร่างกายจะอำนวยให้ แต่ถ้าแกว่งถึง 2000 ก็ควรหยุดเพื่อมิให้ร่างกายสูญเสียพลังงานความร้อนมากเกินไป

4. จะต้องนับด้วยตัวเอง เมื่อนับจะเกิดสมาธิ

5. เพื่อที่จะลดภาระการจดจำ ร้อยแรกให้กำหนดอยู่บนกระหม่อม ร้อยที่สองไว้ที่หูซ้าย ร้อยที่สามไว้ที่หูขวา ร้อยที่สี่ไว้ที่จมูก ร้อยที่ห้าไว้ที่คาง ร้อยที่หกขึ้นไปบนกระหม่อมอีก แล้วก็ไล่ลำดับเหมือนเดิมจนครบเดิม จนครบ 2000

6. ความชัดเจนที่ทำก็คือเมื่อทำครั้งแรก 500 เที่ยวใช้เวลา 15 นาที คิดไปจากนี้ครึ่งชั่วโมงก็ 1000 เที่ยว 1 ชั่วโมงก็ 2000 เที่ยว

7. เวลาแกว่งแขน ทางที่ดีที่สุดคือ เอาปลายลิ้นแตะเพดานปากเบาๆอยู่ตลอดเวลา

8. เมื่อทำไปนานๆถ้าสามารถจะกลั้นลมหายใจในระหว่างแกว่งแขน 30 ครั้งจึงค่อยผ่อนลมหายใจออกมา จะสามารถกระตุ้นเลือดลมของอวัยวะภายในได้ ถ้ากลั้นไม่ได้นานเช่นนั้นก็พิจารณาลดจำนวนลงตามความเหมาะสม

9. การดึงปากทวาร ถ้าเพ่งความนึกคิดไปไว้ที่นั่นก็จะดี บังคับให้มันอย่าหย่อนลงจะสามารถช่วยลมปราณในท้องให้เข้มแข็งขึ้น

ร่างกายเป็นระบบการเคลื่อนไหวระบบหนึ่ง อวัยวะต่างๆที่เข้าร่วมการเคลื่อนไหวต่างดำรงอยู่โดยอาศัยซึ่งกันและกัน ต่างเป็นเหตุเป็นผลของกันและกัน เลือดลมเป็นปัจจัยหลักให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนั้น การปรากฏตัวของ"มะเร็ง" ก็คือผลที่เลือดลมเกิดปัญหานั่นเอง

แพทย์แผนโบราณจีนมองการต่อสู้กับมะเร็งเป็นการต่อสู้ภายในระบบร่างกายก็ได้มีทัศนะว่ามะเร็งสามารถจะถูกพิชิตได้ถ้าเราจัดระบบเลือดลมให้สัมพันธ์กันอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งโรคภัยไข้เจ็บต่างๆด้วย

ทัศนะเช่นนี้ได้สร้างความเชื่อมั่นอย่างใหญ่หลวงแก่ผู้ที่ต่อสู้กับมะเร็ง ทำให้เขาสามารถรวมจิตใจ ความมุ่งมั่น มีอารมณ์ฮึกเหิมที่จะพิชิตโรคร้ายนี้

การแกว่งแขนสามารถจะกระตุ้นให้เกิดการเจริญอาหาร ช่วยให้นอนหลับ เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง สามารถรักษาโรคประสาทอ่อน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคลม โรคไต อัมพาต

รวมความแล้วแพทย์แผนโบราณจีนเห็นว่าปัญหาสุขภาพมนุษย์นั้นโดยพื้นฐานเป็นปัญหาของเลือดลมซึ่งการแกว่งแขนสามารถแก้ปัญหานี้ให้หมดไป

การเคลื่อนไหวแกว่งแขนนี้ฝึกง่าย ได้ผลเร็ว เหมาะทั้งชายและหญิงทุกเพศทุกวัย จึงใคร่เชื้อเชิญให้ท่านผู้สนใจลองฝึกดูด้วยตนเอง จะเกิดผลอย่างคาดไม่ถึง อันจะช่วยเสริมสุขภาพพลานามัยของทุกท่านให้ดีขึ้นอย่างใหญ่หลวง.

ข้อมูลจากหนังสือกำเนิดการเคลื่อนไหวแกว่งแขน
และ http://www.nfc.go.th/042103/online/exercise/tamo/tamo1.htm


2013-04-12

True Colors








Origin:
New York, New York
Decades:
1977–present
Cynthia Ann Stephanie "Cyndi" Lauper (born June 22, 1953) is an American singer, songwriter and actress. She achieved success in the mid-1980s with the release of the album She's So Unusual and became the first female singer to have four top-five singles released from one album. Lauper has released 11 albums and over 40 singles, and as of 2008 had sold more than 30 million records worldwide.

เสียงน่ารักดี งุ้งงิ้ง ๆ ได้ยินเพลง True Colors ที่เธอร้องเมื่อเช้า จากรายการวิทยุ เลยค้นหารูปและประวัิติ 




เนื้อเพลง

You with the sad eyes
Don't be discouraged
Oh I realize
It's hard to take courage

In a world full of people
You can lose sight of it all
And the darkness, inside you
Can make you feel so small

But I see your true colors
Shining through
I see your true colors
And that's why I love you
So don't be afraid to let them show
Your true colors
True colors are beautiful,
Like a rainbow

Show me a smile then,
Don't be unhappy, can't remember
When I last saw you laughing
If this world makes you crazy
And you've taken all you can bear
You call me up
Because you know I'll be there

And I'll see your true colors
Shining through
I see your true colors
And that's why I love you
So don't be afraid to let them show
Your true colors
True colors are beautiful,
Like a rainbow

So sad eyes
Discouraged now
Realize

When this world makes you crazy
And you've taken all you can bear
You call me up
Because you know I'll be there

And I'll see your true colors
Shining through
I see your true colors
And that's why I love you
So don't be afraid to let them show
Your true colors
True colors, true colors

'cause there's a shining through
I see your true colors
And that's why I love you
So don't be afraid to let them show
Your true colors, true colors
True colors are beautiful,
Beautiful, like a rainbow

Song information

Billy Steinberg originally wrote "True Colors" about his own mother. Tom Kelly altered the first verse and the duo submitted the song to Cyndi Lauper. Their demo was in a form of piano based gospel ballad like "Bridge over Troubled Water". Steinberg told Songfacts that "Cyndi completely dismantled that sort of traditional arrangement and came up with something that was breathtaking and stark."[1] Other songs they wrote for Cyndi Lauper include "I Drove All Night" and "Unconditional Love", the former of which went on to be covered by Celine Dion, the latter of which went on to be covered by Susanna Hoffs.
It reached number 1 on the U.S. Billboard Hot 100, 3 in Australia, and 12 on the UK Singles Chart.
"True Colors" also became a standard in the gay community. A choral version of the song was used in a series of TV commercials advertising a variety of Kodak's color photographic film products.
Lauper embarked on a True Colors Tour in 2007 with several other acts including Deborah Harry and Erasure. The tour was for the Human Rights Campaign to promote human rights in the US and beyond. A second True Colors tour occurred in 2008.

อีกเวอชั่นหนึ่ง ร้องโดย Phil Colin ก็เพราะไปอีกแบบ


มิวสิควีดีโอ พูดถึงชนต่างเชื้อชาติ ต่างภาษาและผิวพรรณ ไม่รู้ว่าเอาเพลงนี้มาร้องเพราะเกี่ยวกับการมีภรรยาเป็นคนไทยหรือเปล่า

2013-04-08

นางแย้ม Glory Bower


ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Clerodendrum chinense (Osbeck) Mabb.
ชื่อพ้อง  Volkameria fragrans  Vent.
ชื่อสามัญ :   Glory Bower
วงศ์ :   Labiatae
ชื่ออื่น  ปิ้งหอม
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุ่มลำต้นเตี้ยสูงประมาณ 3-5 ฟุต ใบเป็นใบเดี่ยวจะออกเป็นคู่ๆ ตรงข้ามกัน ลักษณะใบเป็นรูปใบโพธิ์ ตรงปลายแหลมแต่ไม่มีติ่ง ขอบใบหยักรอบใบ ออกดอกเป็นช่อ ดอกจะเบียดเสียดติดกันแน่นในช่อ ช่อดอกหนึ่งกว้างประมาณ 4-5 นิ้ว ลักษณะดอกย่อยคล้ายดอกมะลิซ้อนสีขาว บานเต็มที่ประมาณ 1 นิ้ว ดอกย่อยมีกลีบเลี้ยงสีม่วงแดงเป็นหลอดสั้น ปลายแยก 5-6 แฉก ดอกย่อยบานไม่พร้อมกันและบานนานหลายวัน มีกลิ่นหอมมากทั้งกลางวันและกลางคืน ออกดอกตลอดปี
ส่วนที่ใช้ :  ต้น ใบ และราก
สรรพคุณ :
  •   -   แก้โรคผิวหนัง ผื่นคัน
  • ราก
    -  ขับระดู ขับปัสสาวะ
    -  แก้หลอดลมอักเสบ ลำไส้อักเสบ
    -  แก้เหน็บชา บำรุงประสาท รวมทั้งเหน็บชาที่มีอาการบวมช้ำ
    -  แก้ไข้ แก้ฝีภายใน
    -  แก้ริดสีดวง ดากโผล่
    -  แก้กระดูกสันหลังอักเสบเรื้อรัง
    -  แก้ปวดเอว และปวดข้อ แก้ไตพิการ
ตำรับยา และวิธีใช้
  1. เหน็บชา ปวดขา
    ใช้ราก 15-30 กรัม ตุ๋นกับไก่ รับประทานติดต่อกัน 2-3 วัน
  2. ปวดเอวปวดข้อ เหน็บชาที่มีอาการบวมช้ำ
    ใช้รากแห้ง 30-60 กรัม ต้มน้ำดื่ม
  3. ขับระดูขาว ลดความดันโลหิตสูง แห้หลอดลมอักเสบ
    ใช้ราก และใบแห้ง 15-30 กรัม ต้มน้ำดื่ม
  4. ริดสีดวงทวาร ดากโผล่
    ใช้รากแห้งจำนวนพอควร ต้มน้ำ แล้วนั่งแช่ในน้ำนั้นชั่วครู่
  5. โรคผิวหนัง ผื่นคัน เริม
    ใช้ใบสด จำนวนพอควร ต้มน้ำชะล้างบริเวณที่เป็น
สารเคมีที่พบ  มี Flavonoid glycoside, phenol, saponin และTannin


2013-03-20

ความอ้วน

คนไทยอ้วนมากไปแล้ว กระทรวงสาธารณสุขเตือนมานานแล้วว่ามีคนไทยอ้วนมากขึ้น สถิติการตายแสดงว่าคนไทยตายด้วยโรคหัวใจมากที่สุด รองลงมาจึงเป็นอุบัติเหตุ และตามมาเป็นอันดับสาม คือโรงมะเร็ง โรคหัวใจ เป็นโรคของอ้วน เมื่อคนอ้วนมากขึ้น คนเป็นโรคหัวใจก็มากขึ้น สมัยก่อนไม่ค่อยมีคนอ้วน สมัยนี้ไปที่ไหนจะพบคนอ้วนมากมาย ที่น่าห่วงคือเด็กอ้วน ทุกโรงเรียนมีเด็กอ้วนมากขึ้นทุกปี

           




คนที่อ้วนตั้งแต่เล็ก เมื่อโตขึ้นจะอ้วนง่ายกว่า และลดน้ำหนักยากกว่าคนที่อ้วนเมื่ออายุมาก เด็กกำลังเติบโต เมื่ออ้วนจะมีจำนวนเซลล์ไขมันมาก แต่ละเซลล์ขยายใหญ่ขึ้นเมื่อร่างกายสะสมไขมัน จึงอ้วนเพราะเซลล์ไขมันมาก และแต่ละเซลล์มีไขมันอยู่มาก ผู้ใหญ่ที่อ้วนหลังจากอายุเกิน 25 ปี จะไม่มีเซลล์ไขมันเพิ่ม แต่ขนาดของเซลล์ใหญ่ขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น การเคลื่อนไหวร่างกายลดลง ใช้พลังงานน้อยลง แต่กินอาหารเท่าเดิมหรือมากขึ้น จึงอ้วนขึ้น คนทั่วไปจะเพิ่มน้ำหนักตัวระหว่างอายุ 25 ถึง 55 ปี ประมาณปีละ 250 กรัม หรือน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหนึ่งกิโลกรัมทุกสี่ปี 

มีหลายสาเหตุที่ทำให้คนอ้วน พันธุกรรม การกินอาหารและการออกกำลังกายประกอบกัน ทำให้บางคนอ้วน บางคนไม่อ้วน นิสัยส่วนตัวบางคนไม่ชอบอยู่นิ่ง วิ่งไปวิ่งมาทั้งวัน ใช้พลังงานมาก บางคนนั่งอยู่กับที่ เล่นเขียน อ่าน วาดรูป เล่นดนตรี ใช้พลังงานน้อย คนที่ใช้พลังงานมากจะไม่อ้วน คนใช้พลังงานน้อย โอกาสจะอ้วนมากกว่า คนนั่งอยู่กับที่มักจะกินเก่งอีกด้วย นิสัยส่วนตัวจึงมีผลมากที่จะทำให้อ้วน
 

วิถีชีวิตของคนสมัยใหม่ทำให้อ้วนง่าย เด็กสมัยนี้เล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ เล่นเครื่องเล่นเกมกด กินอาหารร้านอาหารจานด่วน กินเองที่บ้านก็เป็นไส้กรอก ขนมปัง บะหมี่สำเร็จรูป สถาบันวิจัยโภชนาการของมหาวิทยาลัยมหิดล สำรวจการกินอาหารของเด็กนักเรียนพบว่ากินผักน้อยเกินไป กินอาหารหวานและมีไขมันมาก กินไก่ทอด ข้าวผัด ผัดกะเพรา กินขนมทำจากมันฝรั่งทอดกรอบ แป้งข้าวโพดทอดกรอบ ดื่มน้ำหวาน นมหวาน ไม่ได้กินผักผลไม้มากพอ ทำให้เด็กอ้วน โตขึ้นเป็นคนอ้วน

หนุ่มสาวมีครอบครัวใหม่ไม่ทำอาหาร ซื้อกินสะดวกและเร็ว บ้านไม่สกปรก ไม่มีกลิ่นอาหาร จึงอ้วนกันมาก คนที่สนใจเรื่องสุขภาพ เลือกกินอร่อยแล้วไปเสียเงินออกกำลังกายตามสถานออกกำลังกาย แต่ทำได้ไม่นานจะเบื่อ รู้สึกว่าต้องออกกำลังตั้งนาน ใช้พลังงานไปนิดเดียวต้องออกกำลังกายและเลือกกินอาหารลดไขมันด้วยจึงจะได้ผล ถึงจะไม่ชอบทำอาหาร แต่เลือกกินอาหารไขมันน้อยได้ อาจต้องเปลี่ยนนิสัยการกิน ตามใจปากให้น้อยลง หากิจกรรมออกกำลังกายที่ไม่น่าเบื่อ เดินขึ้นลงบันไดวันละหลายๆครั้ง สิ่งสำคัญคือรักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสม ถ้าไม่อ้วนไม่ต้องลดน้ำหนัก

มีคำแนะนำวิธีตรวจสอบความอ้วนหลายวิธี วิธีง่ายและเร็วคือวัดเส้นรอบเอว สำหรับผู้หญิง ถ้าวัดรอบเอวเกิน 32 นิ้ว หรือผู้ชายวัดรอบเอวเกิน 36 นิ้ว นับว่าอ้วนมากเกินไปไขมันส่วนเกินในร่างกายสะสมอยู่รอบเอว ไม่มีกระดูกและกล้ามเนื้อรอบๆเอว เอวหนาเกินไป เป็นไขมันทั้งหมด จะเกาะรอบอวัยวะภายใน ขัดขวางการทำงาน จึงควรลดน้ำหนัก แต่ควรให้แพทย์ตรวจร่างกาย และให้คำแนะนำวิธีลดน้ำหนักที่เหมาะสม

คนอ้วนก็มีสุขภาพดีได้ ถ้าได้ตรวจร่างกาย ตรวจสารในเลือดโดยแพทย์ที่ไว้ใจได้ ไม่ใช้ความรู้สึกส่วนตัว ไม่ลดน้ำหนักเองเพราะอยากแต่งตัวสวย ถ้ารูปร่างไม่อ้วนไม่ผอมจนเกินไป แต่งตัวได้ง่าย หาซื้อเสื้อผ้าก็ง่าย และความรู้สึกสบายดี อ้วนมากอุ้ยอ้าย เหนื่อยง่าย วิ่งไม่ไหว ควรลดน้ำหนักลงบ้าง อยากเห็นเยาวชนคนไทยรูปร่างสวยพอดี คนไทยผิวสวย หน้าตาดีอยู่แล้ว คนสวยจะทำอะไรก็น่าดู ตัวเองมีความพอใจ ความสุขสบายตามมาเอง การลดน้ำหนักที่ได้ผล คือการลดร้อยละห้าถึงสิบของน้ำหนักก่อนลด ไม่ใช่ลดจนได้น้ำหนักตัวที่เหมาะสมสำหรับคนทั่วไป การลดมากเกินไปทำได้ยาก และเมื่อลดแล้วจะกลับคืนอย่างเดิมหรือมากขึ้นทุกราย ลดเพียงร้อยละห้าจะลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้มาก

อาหารลดน้ำหนักในท้องตลาดมีมากมาย มีการแนะนำต่างๆนานา ให้กินสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีทั้งยา ทั้งอาหารเสริม ไม่เคยมีสารใดลดน้ำหนักได้ผล ยิ่งถ้าเป็นอาหารเสริม กินหลายๆมื้อจะเบื่อจนทนไม่ได้ อดกินอาหารที่คนอื่นๆเขากินไม่ได้ ต้องได้กินอาหารธรรมดา เพียงแต่ปรับการใช้ส่วนประกอบ ให้มีไขมันลดลง

เคยได้ยินคำแนะนำบางแห่งให้ตัดข้าว แป้ง และน้ำตาลออกให้หมด มีการกำหนดอาหารโลคาร์บ คืออาหารคาร์โบไฮเดรต บางแห่งให้ตัดไขมันและน้ำมันออกให้หมด จะเป็นอันตราย เพราะขาดสารที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย ถ้าตัดแป้งและน้ำตาลออกหมด สมองจะขาดอาหาร เกิดอาหารมึนงง เวียนศีรษะ เป็นลม ถ้าขาดไขมันจะหิวมาก ขาดกรดไขมันที่จำเป็น ขาดวิตามินเอ ดี อี และเค ซึ่งเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน เราต้องได้รับทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ และน้ำในอาหารทุกมื้อ อยากลดน้ำหนัก แต่ถ้าต้องกินของไม่ชอบคงยากไม่มีใครจะกินอาหารที่ไม่อร่อย เมื่อจะควบคุมน้ำหนัก ต้องมีทางเลือกที่น่ากิน อร่อย และหากินง่าย จะต้องกินเป็นประจำทุกมื้อทุกวันเป็นเวลานาน ต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตการกินอาหารอย่างถาวร ต้องเปลี่ยนรสอาหารที่ชอบ เริ่มจากลดหวาน มัน เค็ม ไม่เติมน้ำตาลในอาหารที่ซื้อมา เลือกกินยำที่ปรุงรสด้วยรสเปรี้ยวและเค็มเท่านั้น ไม่เติมน้ำตาล กินผัก กินผลไม้มาก การลดน้ำหนักจะต้องไม่ทำให้เกิดความหิวอย่างรุนแรง ไม่ทำให้เบื่อ ไม่เครียด ต้องได้กินของที่ชอบ เพียงลดน้ำตาลและไขมัน ต้องออกกำลังกายพร้อมๆกับปรับอาหาร ทำแต่เพียงให้น้ำหนักลดลงทีละน้อย แม้แต่การรักษาน้ำหนักตัวไม่ให้เพิ่มขึ้น ก็เป็นการดูแลตัวเองที่ดีมากและจะรักษาสุขภาพได้อย่างยั่งยืนจริงๆ
   

ขอบคุณบทความจาก : http://blog.eduzones.com/hotnews2010/44616
และรูปภาพจากอินเตอเนท

2013-02-14

Valentine Day





ผ่านไปแล้ว สำหรับวันแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์ 2556 คนรักส่งเพลงมาให้ฟัง แม้จะไม่ได้เจอกันนานแล้ว แต่ความรู้สึกดี ๆ ยังมีให้กันอยู่เสมอ ขอแค่ได้รักก็พอ  ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันก็ได้ 


The Legend of St. Valentine

The history of Valentine's Day--and the story of its patron saint--is shrouded in mystery. We do know that February has long been celebrated as a month of romance, and that St. Valentine's Day, as we know it today, contains vestiges of both Christian and ancient Roman tradition. But who was Saint Valentine, and how did he become associated with this ancient rite?

The Catholic Church recognizes at least three different saints named Valentine or Valentinus, all of whom were martyred. One legend contends that Valentine was a priest who served during the third century in Rome. When Emperor Claudius II decided that single men made better soldiers than those with wives and families, he outlawed marriage for young men. Valentine, realizing the injustice of the decree, defied Claudius and continued to perform marriages for young lovers in secret. When Valentine's actions were discovered, Claudius ordered that he be put to death.

Other stories suggest that Valentine may have been killed for attempting to help Christians escape harsh Roman prisons, where they were often beaten and tortured. According to one legend, an imprisoned Valentine actually sent the first "valentine" greeting himself after he fell in love with a young girl--possibly his jailor's daughter--who visited him during his confinement. Before his death, it is alleged that he wrote her a letter signed "From your Valentine," an expression that is still in use today. Although the truth behind the Valentine legends is murky, the stories all emphasize his appeal as a sympathetic, heroic and--most importantly--romantic figure. By the Middle Ages, perhaps thanks to this reputation, Valentine would become one of the most popular saints in England and France.

Origins of Valentine's Day: A Pagan Festival in February

While some believe that Valentine's Day is celebrated in the middle of February to commemorate the anniversary of Valentine's death or burial--which probably occurred around A.D. 270--others claim that the Christian church may have decided to place St. Valentine's feast day in the middle of February in an effort to "Christianize" the pagan celebration of Lupercalia. Celebrated at the ides of February, or February 15, Lupercalia was a fertility festival dedicated to Faunus, the Roman god of agriculture, as well as to the Roman founders Romulus and Remus.

To begin the festival, members of the Luperci, an order of Roman priests, would gather at a sacred cave where the infants Romulus and Remus, the founders of Rome, were believed to have been cared for by a she-wolf or lupa. The priests would sacrifice a goat, for fertility, and a dog, for purification. They would then strip the goat's hide into strips, dip them into the sacrificial blood and take to the streets, gently slapping both women and crop fields with the goat hide. Far from being fearful, Roman women welcomed the touch of the hides because it was believed to make them more fertile in the coming year. Later in the day, according to legend, all the young women in the city would place their names in a big urn. The city's bachelors would each choose a name and become paired for the year with his chosen woman. These matches often ended in marriage.

Valentine's Day: A Day of Romance

Lupercalia survived the initial rise of Christianity and but was outlawed—as it was deemed “un-Christian”--at the end of the 5th century, when Pope Gelasius declared February 14 St. Valentine's Day. It was not until much later, however, that the day became definitively associated with love. During the Middle Ages, it was commonly believed in France and England that February 14 was the beginning of birds' mating season, which added to the idea that the middle of Valentine's Day should be a day for romance.

Valentine greetings were popular as far back as the Middle Ages, though written Valentine's didn't begin to appear until after 1400. The oldest known valentine still in existence today was a poem written in 1415 by Charles, Duke of Orleans, to his wife while he was imprisoned in the Tower of London following his capture at the Battle of Agincourt. (The greeting is now part of the manuscript collection of the British Library in London, England.) Several years later, it is believed that King Henry V hired a writer named John Lydgate to compose a valentine note to Catherine of Valois.

Typical Valentine's Day Greetings

In addition to the United States, Valentine's Day is celebrated in Canada, Mexico, the United Kingdom, France and Australia. In Great Britain, Valentine's Day began to be popularly celebrated around the 17th century. By the middle of the 18th, it was common for friends and lovers of all social classes to exchange small tokens of affection or handwritten notes, and by 1900 printed cards began to replace written letters due to improvements in printing technology. Ready-made cards were an easy way for people to express their emotions in a time when direct expression of one's feelings was discouraged. Cheaper postage rates also contributed to an increase in the popularity of sending Valentine's Day greetings.

Americans probably began exchanging hand-made valentines in the early 1700s. In the 1840s, Esther A. Howland began selling the first mass-produced valentines in America. Howland, known as the “Mother of the Valentine,” made elaborate creations with real lace, ribbons and colorful pictures known as "scrap." Today, according to the Greeting Card Association, an estimated 1 billion Valentine’s Day cards are sent each year, making Valentine's Day the second largest card-sending holiday of the year. (An estimated 2.6 billion cards are sent for Christmas.) Women purchase approximately 85 percent of all valentines.