2015-11-19

โซเดียมในอาหาร


เนื่องจากเป็นโรคความดันโลหิตสูงมาปีกว่า ๆ เลยค้นคว้าเรื่องเกี่ยวกับโรคนี้ ประกอบกับไม่ชอบกินยาสักเท่าไหร่ เลยว่าจะลดละเลิกอาหารที่เพิ่มความเสี่ยงซะ วันนี้เจอบทความของคุณ ธารดาว ทองแก้ว เกี่ยวกับ โซเดียม ที่มีผลร้ายต่อโรคนี้ เลยเอามาแปะไว้ในเวป จะได้กลับมาอ่านได้เรื่อย ๆ 

ขอบคุณเป็นอย่างสูงค่ะ
-------------------------------------------------------------------------------------------------

เรื่องน่ารู้ - ธารดาว ทองแก้ว -ระวัง... อาหารโซเดียมสูง

"เค็ม" ...เป็นอีกรสชาติหนี่งที่ทำให้อาหารอร่อยขึ้น จนคนส่วนใหญ่เผลอใจ ติดรสเค็มโดยไม่รู้ตัว และอาจไม่รู้ว่าตามหลักโภชนบัญญัตินั้น เขาแนะนำให้ประชาชน บริโภคน้ำมัน น้ำตาล และเกลือ น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น เช่น คนในวัยผู้ใหญ่ควรได้รับโซเดียมประมาณวันละ ๒๓๐ มิลลิกรัม หรือประมาณ ๑ ใน ๑๐ ของ ๑ ช้อนชา เท่านั้น
(ปริมาณสูงสุดที่องค์การอนามัยโลก กำหนดไว้คือ วันละ ๖ กรัม ซึ่งมีโซเดียม อยู่ ๒,๔๐๐ มิลลิกรัม)
หากเรากินอาหารรสเค็มจัดที่ได้จากเกลือโซเดียม มากกว่า ๖ กรัมต่อวัน หรือมากกว่า ๑ ช้อนชาขึ้นไป เป็นประจำ ก็จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคลมปัจจุปัน (หรือโรคหลอดเลือดสมองแตก) โรคหัวใจ และ ไตวาย รวมทั้งโรคกระดูกพรุน ขณะเดียวกันคนที่เริ่มเป็น โรคต่างๆ ข้างต้นนั้น ก็ต้อง ระมัดระวังอาหารที่มีโซเดียมสูง อย่างจริงจัง ไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ในโรคที่เป็นอยู่ หรือกลายเป็นโรคเรื้อรังที่รักษายาก และอาจเป็น อันตรายถึงแก่ชีวิตได้
*** โซเดียมคืออะไร 
โซเดียมคือ เกลือแร่ (สารอาหาร) ชนิดหนึ่งที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย โดยโซเดียมจะทำหน้าที่ควบคุม ความสมดุลของของเหลวในร่างกาย รักษาความดันโลหิต ให้อยู่ในระดับปกติ ช่วยในการทำงาน ของประสาทและกล้ามเนื้อ (รวมถึงกล้ามเนื้อหัวใจด้วย) ตลอดจนการดูดซึมสารอาหาร บางอย่าง ในไตและลำไส้เล็ก
โซเดียมที่เราบริโภคกันเป็นประจำก็คือโซเดียมที่อยู่ในรูปของ เกลือแกง (เกลือ มีส่วนประกอบอยู่ ๒ อย่าง คือโซเดียมกับคลอไรด์) น้ำปลา ซึ่งมีรสเค็ม แต่ยังมีอาหารอีกมากชนิดที่ไม่มีรสเค็ม แต่มีโซเดียม แฝงอยู่สูงมาก ชนิดที่หลายคนคาดไม่ถึง จึงเป็นความจำเป็นที่เราทุกคน ต้องรู้ว่าอาหารชนิดใดบ้าง ที่มีโซเดียมสูง เพื่อจะได้ไม่เผลอกินเพลินจนเจ็บป่วย ซึ่งจากการสำรวจพบว่าคนไทยกินเกลือ ที่มีอยู่ ในอาหารและเครื่องปรุงรส โดยเฉลี่ยวันละประมาณ ๗ กรัม นี่เป็นคำตอบว่าทำไมคนไทย จึงป่วย ด้วยโรค จากการกินเพิ่มขึ้นทุกวัน
*** อาหารที่มีโซเดียม ได้แก่
๑. อาหารธรรมชาติ หลายคนอาจ เพิ่งทราบว่าโซเดียมมีอยู่ในอาหารตามธรรมชาติแทบทุกชนิด โดยอาหารจาก เนื้อสัตว์ต่างๆ จะมีโซเดียมสูง ส่วนอาหารธรรมชาติที่มีโซเดียมต่ำ ได้แก่ ผลไม้ทุกชนิด ผัก ธัญพืชและถั่วเมล็ดแห้ง และเนื้อปลา ซึ่งอาหารสดเหล่านี้มีปริมาณโซเดียมที่เพียงพอ กับความต้องการของร่างกาย โดยไม่จำเป็นต้อง เรียกหาเครื่องปรุงรสใดๆ เลย (นอกจากความอยาก หรือกิเลสส่วนตัวเรียกร้อง)
๒. อาหารแปรรูปหรือการถนอมอาหาร ได้แก่ อาหารกระป๋องทุกชนิด อาหารหมักดอง อาหารเค็ม อาหารตากแห้ง เนื้อเค็ม ปลาเค็ม ปลาร้า ผักดอง ผลไม้ดอง เป็นต้น
๓. เครื่องปรุงรสชนิดต่างๆ เช่น เกลือ (ทั้งเกลือเม็ดและเกลือป่น) น้ำปลา (ซึ่งจะมีปริมาณของเกลือ แตกต่างกันคือ ร้อยละ ๒๓-๓๕) ซอสปรุงรสที่มีรสเค็ม (เช่น ซีอิ๊วขาว เต้าเจี้ยว น้ำบูดู กะปิ ปลาร้า ปลาเจ่า เต้าหู้ยี้ รวมทั้งซอสหอยนางรม) ซอสปรุงรสที่ไม่มีรสเค็มหรือเค็มน้อย (เช่น ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก น้ำจิ้มต่างๆ ที่มีรสเปรี้ยวๆ หวานๆ ซอส เหล่านี้แม้จะมีโซเดียมปริมาณไม่มากเท่าน้ำปลา แต่คนที่ต้องจำกัดโซเดียมก็ต้องระวังไม่กินมากเกินไป)
๔. ผงชูรส แม้เป็นสารปรุงรสที่ไม่มีรสเค็ม แต่ก็มีโซเดียมเป็นส่วนประกอบอยู่ด้วยประมาณร้อยละ ๑๕ และที่เรารู้ๆ กันอยู่ก็คือ อาหารสำเร็จรูปต่างๆ ที่ขายในท้องตลาด มักมีการเติมผงชูรสลงไป แทบทุกชนิด เพื่อให้อาหารมีรสอร่อยขึ้น หรือแม้การปรุงอาหารในบ้าน หลายครัวขาดผงชูรสไม่ได้เลย (ความอร่อยนี้เป็นสิ่งเสพติดที่มีโทษต่อสุขภาพ)
๕. อาหารกระป๋องต่างๆ เช่น ผลไม้กระป๋อง ปลากระป๋อง และอาหารสำเร็จรูปต่างๆ ขนมกรุบกรอบ เป็นถุง เป็นต้น ซึ่งอาหารเหล่านี้มีการเติมเกลือหรือสารกันบูด ซึ่งมีโซเดียมในปริมาณที่สูงมาก
๖. อาหารกึ่งสำเร็จรูป เช่น บะหมี่ โจ๊ก ข้าวต้ม ซุปต่างๆ ทั้งชนิดก้อนและชนิดซอง
๗. ขนมต่างๆ ที่มีการเติมผงฟู (Baking Powder หรือ baking Soda) เช่น ขนมเค้ก คุกกี้ แพนเค้ก ขนมปัง ซึ่งผงฟูที่ใช้ในการทำขนมเหล่านี้มีโซเดียมเป็นส่วนประกอบ (โซเดียมไบคาร์บอเนต) รวมถึงแป้งสำเร็จรูป ที่ใช้ทำขนมเองก็มี โซเดียมอยู่ด้วย เพราะได้ผสมผงฟูไว้แล้ว
๘. น้ำและเครื่องดื่ม น้ำฝนเป็นน้ำที่ปราศจากโซเดียม แต่น้ำบาดาลและน้ำประปามีโซเดียมปนอยู่บ้าง ในจำนวนไม่
มากนัก ส่วนเครื่องดื่มเกลือแร่ยี่ห้อต่างๆ มีการเติมสารประกอบของโซเดียมลงไปด้วย เพราะมี จุดประสงค์ ให้เป็นเครื่องดื่ม สำหรับนักกีฬาหรือผู้ที่สูญเสียเหงื่อมาก ส่วนน้ำผลไม้บรรจุกล่อง ขวด หรือกระป๋อง ก็มักมีการเติมสารกันบูด (โซเดียมเบนโซเอต) ลงไปด้วย ทำให้น้ำผลไม้เหล่านี้ มีโซเดียมสูง วิธีหลีกเลี่ยงคือดื่ม น้ำผลไม้สดจะดีกว่า
โดยภาพรวมจะเห็นว่าอาหารปรุงแต่ง มาก อาหารแปรรูปที่ผ่านกระบวนการต่างๆ จะมีโซเดียมสูง ดังนั้น ถ้ากินอาหารแปรรูป หรืออาหารสำเร็จรูปมากหรือบ่อยเท่าไหร่ เราก็จะได้รับโซเดียมส่วนเกิน วันละเยอะแยะ มากมาย ทั้งที่ความจริงแล้ว ร่างกายต้องการเกลือ ในปริมาณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะร่างกายไม่สามารถทนรับเกลือ ในปริมาณมากๆ ได้โดยเฉพาะทารกและเด็กเล็ก ที่ไม่สามารถ ขับถ่ายโซเดียมได้ดี เท่ากับผู้ใหญ่ ดังนั้นพ่อแม่จึงไม่ควรเติมเกลือในอาหารของลูกเล็กๆ หรือซื้ออาหาร สำเร็จมาให้ลูกกิน (ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ) ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขเอง ก็มีประกาศในเรื่องนี้ อย่างเคร่งครัด ที่ห้ามผู้ผลิตเติมเกลือหรือสารประกอบโซเดียมใดๆ ในอาหารเด็ก (แต่ก็ต้องระวัง เพราะอาจจะมีหลงหู หลงตาไปบ้าง)
*** กินเกลือให้น้อยลง
อย่างที่ได้ทราบกันแล้วว่าอาหารหลายชนิดมีเกลือ "ซ่อนเร้น" อยู่ ดังนั้นวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยลดการบริโภค เกลือลงคือ พยายามใช้เกลือ (น้ำปลา หรือซีอิ๊ว) ให้น้อยลงในการประกอบอาหาร หรือปรุงรสเวลากิน และอย่าลืมอ่านฉลากอาหาร ต่างๆ ทุกครั้งก่อนซื้อมากิน หรือคนที่ อ่านฉลากเสมอบางคน ก็ดูแค่เพียง ปริมาณแป้ง ไขมัน หรือน้ำตาลเท่านั้น แต่ลืมดูปริมาณของโซเดียม โดยทั่วไปฉลากอาหาร มักระบุปริมาณเกลือในรูปปริมาณโซเดียม วิธีเทียบหาปริมาณเกลือคือ ถ้าหน่วยของโซเดียม ที่ให้มา เป็นกรัม (ก.) ให้คูณด้วย ๒.๕ แต่หากหน่วยเป็นมิลลิกรัม (มก.) ให้คูณด้วย ๒.๕ แล้วนำผลลัพธ์ที่ได้ มาหารด้วย ๑,๐๐๐ ปริมาณโซเดียมที่คนเราต้องการคือ วันละ ๐.๕ - ๒.๓ กรัม
อาหารเค็มจัดหรืออาหารที่มีโซเดียม สูง กำลังก่อให้เกิดโรคกับผู้คนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะ โรคความดันโลหิตสูง ที่ได้ชื่อว่าเป็น "ฆาตกรเงียบ" เพราะมันมาแบบเงียบๆ แบบไม่มีสัญญานเตือน และกว่าจะรู้ตัว ก็ปรากฏว่า เป็นโรคความดันโลหิต สูงไปเสียแล้ว โรคนี้เป็นแล้วไม่หายขาด ขึ้นอยู่กับ การปฏิบัติตัวของผู้ป่วย ถ้าผู้ป่วยรายใด มีวินัยในการกินตามที่แพทย์แนะนำ ก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้ อย่างปกติสุขตามอัตภาพ แต่หากละเลยการดูแลตัวเอง ในที่สุดก็ จะมีโรคอื่นแทรกซ้อนตามมาอีก มากมาย และเมื่อนั้นความสุขในชีวิตก็จะลดน้อยลงเรื่อยๆ เพราะมีความทุกข์ ทรมานจากโรคต่างๆ มาเบียดเบียน
ทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่อยากเจ็บป่วย หรือเป็นโรคอยู่แล้วและอยากให้อาการดีขึ้น คือ ต้องหัดกินอาหาร รสจืดให้ได้ เป็นปกติ กินอาหารรสจัดให้น้อยลง แล้วจะรู้ว่า รสจืดก็มีความอร่อย... อร่อยแบบจืดๆ
# ข้อมูลบางส่วนจาก นิตยสาร Gourmet & Cuisine January ๒๐๐๕ หน้า ๘๓

- ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๑๗ ม.ค. - ก.พ. ๒๕๔๘ -

2015-10-22

9 วิธี หยุดทรมาน จากอาการปวดศีรษะ


9 วิธี หยุดทรมาน จากอาการปวดศีรษะ (สุขภาพดี)

          เพราะอาการปวดศีรษะอยู่ใกล้ตัวเราทุกคน ยิ่งสาว ๆ คนไหนทำงานแบบลืมพักผ่อน รับรองว่าอาการปวดศีรษะจะมาเคาะประตูเยี่ยมเยือนบ่อยยิ่งกว่าบ่อยแน่นอน ยิ่งช่วงไหนทั้งพักผ่อนน้อย ทั้งเครียด และมีประจำเดือนแล้วล่ะก็ อาการปวดศีรษะจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น เสียจนยาแก้ปวดแทบจะเอาไม่อยู่เลยทีเดียว แต่อย่าเพิ่งกังวลเรามี 9 วิธี หยุดทรมานจากอาการปวดศีรษะมาฝาก

1. 6.30 น. : ออกกำลังกายรับวันใหม่
          การออกกำลังกายทุกวัน นอกจากจะช่วยให้คุณมีรูปร่างที่ดีและร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังช่วยป้องกันอาการปวดศีรษะอีกด้วย ผลการศึกษาจากอาสาสมัครชาวอเมริกันพบว่า คุณผู้หญิงที่มีดัชนีมวลกายตั้งแต่ 30 ขึ้นไป มีแนวโน้มที่จะต้องรบกับอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง มากกว่าคุณผู้หญิงที่มีค่าดัชนีมวลกายต่ำกว่า

2. 9.00 น. : กาแฟหนึ่งถ้วย อาจช่วยคุณได้          หากคุณรู้สึกว่าอาการปวดศีรษะเริ่มจะมาถามหา การดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน อย่างชาหรือกาแฟอาจช่วยแก้ปัญหานี้ได้ เจโรเม่ ดิซอน (Jerome Dwxon) ผู้เชี่ยวชาญด้านบำบัดอาการปวดศีรษะ แนะนำว่าการบริโภคเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่อาจช่วยรักษาอาการปวดศีรษะ ซึ่งในรายที่หยุดบริโภคสารคาเฟอีนแบบเฉียบพลัน จะทำให้เกิดอาการปวดศีรษะขึ้นได้นั่นแสดงให้เห็นว่า สารคาเฟอีนมีส่วนช่วยในการบรรเทาอาการปวดศีรษะจริง

3. 11.45 น. : บรรเทาอาการปวดเมื่อยบริเวณต้นคอ
          เมื่อนั่งทำงานได้สักพักใหญ่ ๆ คุณคงจะเริ่มรู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะบริเวณต้นคอที่จะรู้สึกตึงเป็นพิเศษ วิธีบรรเทาอาการปวดเมื่อยบริเวณต้นคอ คือคุณควรยืดตัวตรง เอียงหูไปทางไหล่ซ้ายและไหล่ขวาช้า ๆ ทีละข้างแล้วจึงมองขึ้นข้างบนสลับกับข้างล่าง ทำซ้ำแต่ละท่าประมาณ 4-5 ครั้งต่อ 1 เซ็ต และหาโอกาสทำให้ได้ 3 เซ็ต ใน 1 วัน

4. 13.00 น. : คลายเครียดระหว่างวันด้วยแสงสว่าง
          ใครจะรู้ว่าแสงสว่างในออฟฟิศมีผลต่ออาการปวดศีรษะเช่นกัน โดยเฉพาะแสงจากหลอดไฟที่สว่างไม่เพียงพอ หากคุณปรับแสงให้เหมาะสม จะช่วยลดอาการปวดศีรษะได้ นอกจากนี้คุณควรเดินออกไปสูดอากาศภายนอกออฟฟิศบ้าง เพื่อพักสายตาให้คลายความเหนื่อยล้าจากการมองจอคอมพิวเตอร์ แต่หากแสงสว่างภายนอกจ้าเกินไป ก็อย่าลืมใส่แว่นกันแดดด้วยนะ

5. 15.00 น. : จัดโต๊ะทำงานให้เหมาะสม ลดความปวดเมื่อย
          ถ้าคุณต้องนั่งทำงานอยู่บนโต๊ะทั้งวัน ต้องแน่ใจว่าโต๊ะทำงานของคุณอยู่ในตำแหน่งที่จะไม่ก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะ ตำแหน่งที่ถูกต้องคือโต๊ะของคุณจะต้องสูงระดับหน้าอก แทนที่จะอยู่ในระดับเอวของคุณ เพราะการจัดวางโต๊ะในระดับนี้จะช่วยให้คุณไม่ต้องโน้มตัวมากจนเกินไป ทำให้นั่งสบายขึ้น และคุณควรพยายามนั่งหลังตรง ๆ ด้วย

6. 16.00 น. : ทานอาหารว่างที่มีประโยชน์
          ถ้าคุณมีแนวโน้มว่าจะปวดศีรษะ ควรทานอาหารว่างที่มีประโยชน์ เช่น อาหารว่างเพื่อสุขภาพ เพื่อช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด และควรหลีกเลี่ยงอาหารปรุงสำเร็จที่มีส่วนผสมของผงชูรส ซึ่งเป็นสารที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะ

7. 20.00 น. : วิตามินบีเสริม ลดความรุนแรงจากอาการปวดศีรษะ
          ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อไม่นานมานี้พบว่า การทานอาหารเสริมที่ประกอบไปด้วยวิตามินบีและโฟเลท (วิตามินในกลุ่มวิตามินบีที่ละลายน้ำได้) ช่วยลดความรุนแรงจากอาการปวดศีรษะข้างเดียว หรือไมเกรนได้อย่างมาก นักวิจัยเชื่อว่าการทานวิตามินจะช่วยลด Homocysteine ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่มีผลต่อการอุดตันของหลอดเลือดในสมอง

8. 21.00 น. : ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ
          เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า การดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์นั้น เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะร่างกายขาดน้ำหรือ Dehydration และอาการปวดศีรษะในวันรุ่งขึ้นซึ่งเกิดจากการเมาค้าง ภาวะร่างกายขาดน้ำนั้น เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของอาการปวดศีรษะ ดังนั้นการดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอ ก็จะเป็นอีกหนึ่งวิธีช่วยให้คุณหายปวดศีรษะได้

9. 23.00 น. : นอนให้ครบ 8 ชั่วโมง ห่างไกลไมเกรน
          การนอนหลับพักผ่อนให้ครบ 8 ชั่วโมงจะช่วยป้องกันอาการปวดศีรษะ โดยเฉพาะการปวดศีรษะเรื้อรังได้ เพราะการพักผ่อนนอนหลับมีความเกี่ยวข้องกับอาการปวดศีรษะโดยตรง หากคุณพักผ่อนเพียงพอก็จะช่วยลดความถี่ในการปวดศีรษะลงได้

          กลยุทธ์สู้กับอาการปวดศีรษะทั้ง 9 ข้อที่คุณสามารถทำได้ตลอดทั้งวัน นอกจากจะช่วยให้อาการปวดศีรษะหนีหายไปแล้ว ยังทำให้คุณมีสุขภาพกายที่แข็งแรงและสุขภาพใจที่แจ่มใสอีกด้วย เรียกได้ว่าสุขภาพดีครบสูตรเลยทีเดียว

ขอบคุณ : krapook.com

2015-10-19

สมาธิ-Maditation


ในยุคที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ การแข่งขัน และความวุ่นวายมากมาย ทำให้ใครหลายคนหันหน้าเข้าหาธรรมะ และเลือกพักผ่อนจิตใจตัวเองด้วยการนั่งสมาธิ ซึ่งเป็นเรื่องง่าย ๆ ที่ใครก็สามารถทำได้ ทำให้ทุกวันนี้ไม่เพียงคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ หรือปู่ย่าตายาย เท่านั้น แต่หนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ ก็หันมาฝึกนั่งสมาธิกันมากขึ้นด้วย
          สำหรับใครที่ยังไม่เคยและอยากลองสัมผัสความสุขเล็ก ๆ และประโยชน์ดี ๆ จากการนั่งสมาธิ วันนี้เรามีเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะทำให้การฝึกนั่งสมาธิของคุณเป็นเรื่องง่ายมาฝากกันค่ะ
 1. จัดท่าทางให้ถูกต้อง
          จริงอยู่ว่าใคร ๆ ก็นั่งขัดสมาธิ เพื่อนั่งสมาธิได้ แต่การนั่งที่ถูกต้อง คือ คุณต้องแน่ใจว่าคุณนั่งตัวตรง หัวตรง นั่นเพราะร่างกายของเราสัมพันธ์กับจิตใจค่ะ หากคุณนั่งตัวงอแล้วละก็ จิตใจของคุณก็จะล่องลอยไป ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนะคะ แต่ไม่ต้องนั่งเกร็งมาก ให้นั่งเหมือนเรากำลังผ่อนคลายดีที่สุด
 2. เปิดตานั่งสมาธิ
          บางครั้งการนั่งสมาธิ ไม่จำเป็นต้องหลับตาเสมอไป คุณสามารถเปิดตาไว้ แต่ปรับระดับสายตาให้มองต่ำลง โดยกำหนดจุดให้เพ่งรวบรวมสมาธิไว้ เพราะบางคนเมื่อปิดตาแล้วกลับรู้สึกฟุ้งซ่าน ในหัวสมองเต็มไปด้วยเรื่องราวต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าวิธีใดทำแล้วได้ผลมากกว่ากัน
 3. กำหนดรู้ลมหายใจ
          การกำหนดลมหายใจเข้า-ออก เป็นการกำหนดที่ตั้งของสติ เพื่อให้จิตเราอยู่กับสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ไม่ฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่น ๆ แต่เราไม่จำเป็นต้องไปบังคับการหายใจ แค่ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ
 4. นับลมหายใจเข้า-ออก
          การนับลมหายใจเข้าออก เป็นวิธีปฏิบัติสมาธิมาตั้งแต่โบราณ โดยเมื่อคุณหายใจออกก็ให้คุณเริ่มนับหนึ่งในใจ ต่อไปก็เป็นสองสามสี่ตามลำดับ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้สึกว่าความคิดของคุณกำลังล่องลอยออกไปที่อื่น ให้คุณกลับมาตั้งต้นนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง เพื่อให้คุณนำจิตกลับมาที่เดิม
 5. ควบคุมความคิดไม่ให้เข้ามารบกวน
          เมื่อคุณรู้สึกว่าคุณกำลังมีความ คิดเข้ามารบกวนจิตใจ ค่อย ๆ ขจัดความคิดเหล่านี้ออกไป โดยหันมาสนใจกับการกำหนดลมหายใจ อย่าพยายามหยุดความคิดในทันที เพราะมันจะทำให้คุณฟุ้งซ่านและไม่สามารถกลับเข้าสู่สมาธิได้อีก
 6. กำจัดอารมณ์ให้หมดสิ้น
          มันเป็นการยากที่จะนั่งสมาธิในขณะที่จิตของคุณเต็มไปด้วยอารมณ์ เพราะอารมณ์จะทำให้เกิดเรื่องราวต่าง ๆ ในจิตใจ โดยเฉพาะอารมณ์โกรธ กลัว เสียใจ ซึ่งไม่ได้ทำให้คุณอยู่กับปัจจุบัน หรืออยู่กับสิ่งที่เป็นในตอนนี้เลย ให้คุณจัดการกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นนี้โดยกำหนดลมหายใจไปที่ความรู้สึกของร่างกายที่ควบคุมอารมณ์ส่วนนั้น เพราะจะทำให้คุณไม่คิดถึงเรื่องราวที่ทำให้คุณกลัว หรือโกรธอีก แต่หันมาเพ่งกับสิ่งที่เป็นอยู่ในขณะนี้แทน
 7. ความเงียบบ่อเกิดแห่งความสงบ
          การนั่งสมาธิควรจะนั่งในที่เงียบ ๆ เพื่อทำจิตให้ว่าง ไม่ใส่ใจถึงบุคคล เสียง หรือสิ่งอื่นที่อยู่โดยรอบ เพราะความเงียบจะนำมาซึ่งความสงบเยือกเย็น และความรู้สึกมั่นคง เมื่อไหร่ก็ตามที่ความเงียบภายนอกและภายในประสานกันได้ คุณก็จะรู้สึกได้พักกายพักใจ ผ่อนคลายจากความคิดที่รบกวนคุณอยู่ตลอดมา
 8. เวลาในการนั่งสมาธิ
          เมื่อเริ่มต้นนั่งสมาธิใหม่ ๆ คุณอาจจะลองนั่งก่อนประมาณสัก 10 นาที และจึงค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนรู้สึกว่าจิตคุณเริ่มนิ่งมากขึ้น แต่อย่าบังคับตัวเองให้นั่งนานเกินไปหากคุณยังไม่พร้อม ทั้งนี้ ระยะเวลาที่เหมาะ คือประมาณ 25 นาที เพราะเป็นระยะเวลาที่ไม่ทำให้รู้สึกปวดเมื่อยร่างกายเกินไปจนรบกวนสมาธิได้
 9. สถานที่ในการนั่งสมาธิ
          สถานที่และบรรยากาศก็ช่วยให้คุณทำสมาธิได้ดีขึ้น ซึ่งการนั่งสมาธิในห้องพระจะช่วยให้จิตใจสงบและรู้สึกเป็นสมาธิมาก หรือคุณอาจจะวางสิ่งเล็ก ๆ ที่คุณชอบ หรือช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายไว้รอบ ๆ ที่คุณนั่งสมาธิก็ได้
 10. มีความสุขไปกับการนั่งสมาธิ
          คนเราหากทำอะไรแล้วมีความสุข เราก็จะทำมันได้ดี และรู้สึกอยากทำต่อไป ในการนั่งสมาธิก็เช่นกัน หากคุณมีความสุขในการนั่งสมาธิ คุณก็จะรู้สึกผ่อนคลายสบายตัว และอยากจะทำต่อไป จนสามารถทำเป็นกิจวัตรที่ทำทุกวันได้

          รับรองว่าหากเพื่อน ๆ ได้ลองฝึกนั่งสมาธิเป็นประจำสม่ำเสมอ ก็จะรู้สึกได้ถึงจิตใจที่สดชื่น เบิกบาน และมีสติในการทำสิ่งต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นด้วย 
ที่มา : kapook.com

การทำสมาธิ ไม่ต้องคอยให้ใจสงบ สามารถทำได้ทุกที่ ทุกเวลา แต่ถ้าต้องการความต่อเนื่องยาวนาน และให้ได้ผลการปฏิบัติที่ดีนั้น มีหลักการเบื้องต้นและขั้นตอนดังนี้
  1. บริโภคน้ำอาหารมิให้อิ่มไป หิวไป ถ่ายท้อง แปรงฟัน อาบน้ำ เช็ดตัว ให้เรียบร้อย เตรียมร่างกายให้สะอาด นุ่งชุดที่ไม่คับตัว ผ้าเบาๆ สบายๆ
  2. หามุมสงบ ไม่เสียงดัง ไม่อึกทึก ไม่มีการรบกวนจากภายนอกได้ง่าย มีอุณหภูมิพอดี ๆ ที่นั่งที่รู้สึกสบายกับเรา เช่น อายุมากเข่าไม่ดีอาจนั่งบนเก้าอี้ก็ได้
  3. นั่งขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย หรือวางมือตามสะดวกที่อื่นๆ จะเป็นที่หน้าตักก็ได้ บนเข่าก็ได้ ถ้าบนเข่าอาจหงายหรือคว่ำมือก็ได้
  4. หลับตาเบาๆ ให้ขนตาชนกัน แต่อย่าเม้มตา
  5. ขยับท่าทางให้รู้สึกว่าสบาย สังเกตตัวเองว่ามีการเกร็งไหม ถ้ามีขยับผ่อนคลายความรู้สึกไม่ให้เกร็ง
  6. ทำใจให้โล่ง โปร่ง เบา สบาย ปล่อยวางสิ่งต่างๆ ในใจ ละปริโพธ หรือความกังวลต่าง ๆ ชั่วคราว อาจตั้งกำหนดเวลาในใจ ว่าจะอุทิศให้เวลาระหว่างนี้แก่การภาวนา ทำใจให้มีความสุขเพราะแค่เราอยากมีความสุข จิตเราก็จะมีความสุขทันที ทำใจให้สนุกกับการปฏิบัติธรรม
  7. เมื่อสบายดีแล้ว ให้ภาวนาในใจ จะใช้ความรู้สึกจับกับลมหายใจ หายใจเข้าสั้นก็รู้ หายใจออกสั้นก็รู้ หายใจเข้ายาวก็รู้ หายใจออกยาวก็รู้ โดยไม่ต้องใช้คำบริกรรมก็ได้ จะใช้คำบริกรรมว่า ว่า พุท เมื่อหายใจออกให้กำหนดว่า โธ ก็ได้ หรือจะใช้คำบริกรรมอื่นๆ เช่น นับ 1,2,3 .. ไปเรื่อยๆ เมื่อหายใจเข้าออกครั้งหนึ่ง หรือ นะมะ-พะธะ ก็ได้เช่นกัน (วิธีการเหล่านี้ เป็นวิธีการของโบราณจารย์)
  8. ในระหว่างการปฏิบัติธรรม อาจจะมีเรื่องฟุ้งซ่านเข้ามาเป็นระยะ อย่าสนใจ ถ้าจิตวอกแวกจนสนใจเรื่องอื่น เมื่อได้สติ ให้เริ่มภาวนาใหม่
  9. อาจรู้สึกเมื่อย คัน ปวด ให้อดทน ถ้าทนไม่ไหวให้เปลี่ยนอิริยาบถแก้ เช่นเกาที่คัน แต่ให้ทำอย่างมีสติ เช่น ภาวนาว่า เมื่อยหนอๆ คันหนอๆ เกาหนอๆ ซึ่งถ้าจะลุกมาเดินจงกรมจนกว่าจะหายเวทนาก็ได้
  10. เมื่อใจเริ่มสงบดีแล้ว จิตกำลังผ่านขณิกสมาธิ กำลังย่างเข้าอุปจารสมาธิ อาจจะมีความรู้สึกแปลกๆ มีอาการต่างๆกันไปตามสภาวะจิต ของแต่ละคน เช่นตัวหมุน ตัวเบา สั่น ขนลุกและอื่นๆ ก็ให้วางเฉยไปตั้งใจภาวนาเรื่อยๆ
  11. เมื่อจิตเป็นสมาธิมากขึ้น คำภาวนาจะหายไป ให้กำหนดสภาวะที่รับรู้ได้เด่นชัดในจิต แล้วให้จิตไปจับไว้แทน เช่น ลมหายใจ
  12. เมื่อจิตมีสมาธิกล้าขึ้นจิตจะนิ่งสงบเหมือนผิวน้ำที่ไร้คลื่น จิตจะกำหนดอะไรเป็นองค์ภาวนาไม่ได้ชั่วคราว เราอาจจะตกใจว่าไม่มีอะไรให้กำหนดได้อาจหลุดจากสมาธิ ให้พิจารณาว่า สภาวะที่กำหนดอะไรมิได้ เป็น ธรรมชาติ คือเป็นความจริงให้กำหนดความจริงนี้แทน
  13. เมื่อทรงอารมณ์ไว้ได้อุคคหนิมิตจะเกิดขึ้น เหมือนน้ำนิ่งจะเห็นก้นสระ จิตจะเห็นภาพสัญญาที่เก็บในภวังคจิต (จิตใต้สำนึก) คือ อารมณ์ภาวนาที่กำหนดไว้ชัดขึ้นในจิต
  14. เมื่อใจนิ่งได้ระดับนึง จะเริ่มเห็นความสว่างจากภายใน เป็นการเห็นด้วยใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อันให้เกิดความเชื่อทางพุทธศาสนาต่างๆ เช่น เห็นสิ่งลี้ลับ กายทิพย์ต่างๆ หรือมีภาพ ให้เห็นเป็นเรื่องราวต่างๆ เช่นในอดีต หรือชาติที่แล้วมา หรือเหตุการณ์ในอนาคต ให้ทำใจเฉยๆอย่างเดียว หากมีข้อสงสัย หรือมีคำถาม มีสิ่งผิดปกติอะไรก็ช่าง ก็ให้บอกตัวเองว่า คิดไปเอง เพราะเราไม่อาจทราบได้ว่านิมิตรนั้นจริงเท็จเพียงใด จงอย่าสนใจให้ทำสมาธิต่อไป เพราะแม้จะจริงก็จะทำให้เราล่าช้า ถ้าไม่จริงอาจทำเราเป็นมิจฉาทิฏฐิ หรือ อาจเสียสติได้ ถ้าคุมจิตมิได้ก็ให้แผ่เมตตาแก่เจ้ากรรมนายเวร
  15. เมื่อจิตเข้าสู่อัปปนาสมาธิจะเห็นปฏิภาคนิมิตร แต่ถ้ากำหนดอานาปานสติ และวิปัสสนา จะเห็นขันธ์ 5 เกิดดับขึ้น ให้ระวังวิปัสสนูปกิเลส ถ้าผ่านไปได้ก็จะทำลายวิปลาสต่างๆ และบรรลุฌาน (ถ้าเน้นสมถกรรมฐาน) หรือญาน (ถ้าเน้นวิปัสสนา) ตามลำดับ
ข้อแนะนำ คือ ต้องทำให้สม่ำเสมอเป็นประจำ ทำเรื่อยๆ อย่างสบายๆ ไม่เร่ง ไม่บังคับ ทำได้แค่ไหนให้พอใจแค่นั้น ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดความอยากจนเกินไป จนถึงกับทำให้ใจต้องสูญเสียความเป็นกลาง



2015-03-06

คู่มือดูแลโฮย่า













<<<<<<คู่มือดูแลโฮย่า>>>>>>


1. สภาพแสง จำไว้ว่า โฮย่าชอบแสง แต่ไม่ชอบแดด อธิบายดังนี้ คือ โฮย่าเป็นไม้อิงอาศัยไม้อื่น ทำให้พอเข้าใจได้ว่า เขาชอบแสง แต่ไม่อยากร้อนมากเกินไปเลยต้องอาศัยร่มเงาของไม้อื่น การเพาะเลี้ยงจึงต้องใช้วัสดุอื่นกำบังแสงแดดเพื่อไม่ให้ใบคลายน้ำมากเกินไป ส่วนมากจะใช้ สแลน ที่มีเปอร์เซ็นแสง 50 - 60 เปอร์เซ็น เพราะถ้าถึบแสงมากเกินไป จะทำให้ การสังเคราะห์ แสง และการดูดซึมน้ำ เกิดขึ้นน้อย ทำให้ พืชโตช้า และไม่ค่อยมีดอก

2. สภาพความชื้น (การให้น้ำ) ธรรมชาติของโฮย่าเป็นพืชอิงอาศัยไม้อื่น ลำต้นและรากเกาะแน่นไปกับต้นไม้ใหญ่ และอาศัยน้ำฝนน้ำค้างตามธรรมชาติ ทำให้เราพอเข้าใจได้ว่า โฮย่าต้องการความชื้น แต่ต้องการในปริมาณน้อย เพราะถ้าต้องการน้ำมากคงจะขึ้นอยู่บนพื้นดินมากกว่า ที่จะขึ้นอยู่บนต้นไม้ เมื่อนำมาปลูกเลี้ยง จึงต้องเลียนแบบธรรมชาติ คือใส่กระถางแขวน ตัวกระถางแขวนเปรียบเหมือนต้นไม้ใหญ่ให้โฮย่าได้เกาะติดอาศัย กระถางต้องระบายน้ำได้ดีด้วย รดน้ำแล้วต้องไม่ขังในกระถางนาน ประมาณว่า รดน้ำต้องเปียก(ไหลออกก้นกระถางเลย) ครึ่งวันต้องชื้น(ใช้นิ้วจิ้มดูที่ก้นกระถาง) หนึ่งวันต้องแห้ง (ต้องให้เปียกสลับแห้ง) คือถ้ารดน้ำทุกวันโดยไม่ ให้รากแห้งบ้าง ก็จะทำให้รากและโคนเน่าง่ายมาก จำไว้ว่า ถ้าชื้น ยังไม่ต้องรด แต่ถ้าแห้ง จึงรดน้ำใหม่ หน้าร้อน 1 วันครั้ง หน้าฝน และ หนาว 2 วันครั้ง ปรับเปลี่ยนตามเหมาะสม

3. ปุ๋ย

3.1 ใส่ปุ๋ยละลายช้า (ออสโมโค้ท) นิยมใช้กันแพร่หลายเพราะไม่มีอันตรายต่อพืช เนื่องจากเคลือบสารโพลิเมอร์ไว้ ค่อยๆ ปลดปล่อยธาตุอหารออกมาทีละน้อย ทำให้ไม่ต้องใส่บ่อยและไม่สูญเสียจากการไหลไปกับน้ำที่รด ปุ๋ยชนิดนี้มีราคาสูงกว่าปุ๋ยเคมีธรรมดา มีทั้งสูตร 15-15-15 (หรือ14-14-14 หรือ 16-16-16 เรียกว่า "สูตรเสมอ" คือมีธาตุอาหารหลัก N-P-K ครบ) ยังมีอีกสูตรหนึ่งที่เพิ่มแมกนีเซียมด้วย เป็นสูตร 13-26-7+1.5% แมกนีเซียม (มีฟอสฟอรัสสูงสำหรับเร่งดอก) ความถี่ในการใส่ปุ๋ยละลายช้าอาจมีทั้งทุก 3 เดือนและทุก 6 เดือนแล้วแต่จะเลือกใช้

3.2 ปุ๋ยเคมีธรรมดา เป็นปุ๋ยเม็ดสำหรับบำรุงไม้ดอก มีแบ่งขายย่อยทีละ 1 กก. ตามร้านเคมีเกษตรทั่วไป เม็ดสีฟ้าหรือสารพัดสี (ฟ้า ขาว น้ำตาล ชมพู ปะปนกัน) ใช้สูตรตัวกลางสูง (ฟอสฟอรัสสูง) เช่น สูตร 8-24-24, สูตร 18-46-0 เป็นต้น ให้ใส่ทีละน้อย(5-10 เม็ด) และอย่าให้สัมผัสรากและโคนต้นโดยตรง มิฉะนั้นปุ๋ยจะกัดเนื้อเยื่อรากและโคนต้นอาจถึงตายได้ ความถี่ในการใส่แล้วแต่วิจารณญาณ 10-15 วันครั้ง แต่อย่าถี่มาก เมื่อออกดอกแล้วก็ปล่อยให้พักตัวบ้าง

3.3 ปุ๋ยสำหรับฉีดพ่นทางใบ (ปุ๋ยกล้วยไม้)
มีให้เลือกหลายสูตร ทั้งสูตรเสมอและสูตรตัวกลางสูง เลือกใช้ตามความเหมาะสมของอายุโฮย่า อย่าฉีดพ่นเวลามีแดดจัด เลือกฉีดพ่นเวลาเช้า (ก่อน 10 โมง) หรือเย็น (หลังบ่าย 3) ควรผสมสารจับใบลงไปด้วย (1-2 หยดต่อลิตร) เพื่อเพิ่มความสามารถในการเคลือบผิวใบให้ปุ๋ยอยู่บนใบได้นานขึ้น 

2015-02-06

พบกับแค็ตตาลอก ออนไลน์รอบใหม่

พบกับแค็ตตาลอก ออนไลน์รอบใหม่: คลิกที่นี่! พบกับหลากหลายผลิตภัณฑ์ เพิ่มเติมในแค็ตตาลอกออนไลน์

2015-01-22

6เครื่องดื่มช่วยลดพุง


เครื่องดื่มที่ช่วยกำราบพุงให้อยู่หมัด
       
       นอกจากการออกกำลังกายจะเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกินและลดหน้าท้อง ให้คุณหนุ่มๆ ได้แล้ว การดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพก็เป็นอีกวิธีง่ายๆ ที่สามารถลดพุงสลายไขมันหน้าท้อง เพื่อให้คุณมีหน้าท้องแบบราบได้เหมือนกันวันนี้เราก็มีตัวอย่าง เครื่องดื่มสำหรับลดพุงมาฝากกันนะค่ะ

       
       1. ชามิ้นต์
       ด้วยคุณสมบัติของมิ้นต์ จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารของคุณย่อยสลายไขมัน แม้แต่อาหารไขมันสูงอย่างเบอร์เกอร์หรือสเต็ก ก็จะถูกย่อยได้อย่างรวดเร็ว แถมยังลดอาการท้องอืดพร้อมเร่งการขับถ่ายได้อีกด้วย


       
       2. ชาเขียว
       อย่างที่รู้กันว่าชาเขียวสามารถช่วยลดความอ้วน และควบคุมไขมันได้ด้วย นอกจากนี้ชาเขียวยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อว่า "คาเทซิน" ซึ่งช่วยลดไขมันบริเวณหน้าท้องได้ เพียงจิบชาเขียวก่อนออกกำลังกายก็ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันในระหว่าง นั้นได้แล้ว


       
       3. นมถั่วเหลือง
       ถั่วเหลืองมีสารแลคตินที่ช่วยป้องกันการสะสมไขมันของเซลล์ในร่างกาย พร้อมกับช่วยสลายไขมันส่วนเกิน เพียงดื่มนมถั่วเหลือง 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ก็จะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันส่วนเกินได้ดี


       
       4. น้ำเปล่า
       เครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายของเรามากที่สุด และยังดีต่อระบบเผาผลาญของร่างกาย รวมทั้งช่วยรักษาสมดุลของของเหลวในร่างกายทั้งยังลดอาการบวมน้ำได้ด้วย


       
       5. น้ำแตงโม
       มีสารอาหารมากมายรวมถึงไลโคปีนที่ช่วยต้านมะเร็ง รวมถึงกรดอะมิโนที่ชื่อว่าอาร์จินีน โดยการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nutrition ระบุว่า น้ำแตงโม ช่วยสร้างมวลกล้ามเนื้อได้ แต่คุณก็ต้องออกกำลังกายอย่างจริงจังควบคู่กันไปด้วย


       
       6. น้ำสับปะรด
       สับปะรดมีสารที่เรียกว่า "โบรมีเลน" ซึ่งช่วยย่อยโปรตีนทำให้การย่อยอาหารง่ายยิ่งขึ้น รวมทั้งช่วยลดอาการท้องอืด นอกจากนี้การใส่น้ำมันที่สกัดจากเมล็ดแฟลกซ์ผสมลงในน้ำสับปะรดก็ถือว่าเป็น ประโยชน์ต่อสุขภาพด้วย เพราะมีไขมันโมเลกุลเดี่ยวที่ไม่อิ่มตัวในปริมาณค่อนข้างสูง (จากการศึกษาพบว่าหากกินไขมันประเภทนี้ในปริมาณที่พอเหมาะจะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ นอกจากนี้ไขมันโมเลกุลเดี่ยวที่ไม่อิ่มตัวยังมีส่วนป้องการเกิดโรคหัวใจได้)
       
       ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือเครื่องดื่มอะไรก็ตามที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ก็ควรจะรับประทานให้พอดีกับความต้องการของร่างกาย เพราะหากรับประทานน้อยเกินไปก็อาจจะขาดสารอาหาร หรือมากเกินไปก็อาจเกิดการสะสมในร่างกาย อย่างไรก็ดีควรหาเวลาออกกำลังกายควบคู่กันไป พร้อมๆ กับการรับวิตามินและสารอาหารต่างๆ ในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เพื่อสุขภาพที่ดีทั้งภายในและภายนอกของคุณเองด้วยนะค่ะ
       
       ที่มาข้อมูลและภาพ postjung.com

2014-07-06

ทฤษฎีลิงสามตัว


สาระสำคัญ ทฤษฎีลิง 3 ตัวนี้เป็นทฤษฎีของนักปราชญ์ชาวจีน โดยมีความเชื่อว่าการเป็นผู้บริหารที่ดีนั้น ต้องรู้จักควบคุมการฟัง ควบคุมการมอง และควบคุมการพูด ซึ่งเปรียบเทียบได้กับสัญลักษณ์ของลิงทั้ง 3 ตัวนี้มีลักษณะแตกต่างกัน ก็เปรียบเสมือนกับคนเราย่อมแตกต่างกัน ลิงตัวเดียวไม่สามารถปิดหู ปิดตา ปิดปากได้ในเวลาเดียวกัน เพราะมีมือเพียงสองมือเท่านั้น มนุษย์ก็เช่นกันไม่สามารถทำอะไรในเวลาเดียวกันได้ทุก อย่าง เพราะฉะนั้นผู้บริหารควรจะเลือกนำมาใช้ว่าสถานการณ์ใ ดควรใช้แบบใด 

ทฤษฎีลิง 3 ตัว มีรายละเอียด ดังนี้

ลิงตัวที่ 1 นั่งปิดหูหนึ่งหู ก็หมายความว่า คนเราควรจะรู้จักควบคุมว่าอะไรที่ควรฟังหรือไม่ควรฟั ง ต้องแยกแยะในสิ่งที่ฟังมา ต้องฟังหูไว้หู แล้วนำสิ่งที่ฟังมาวิเคราะห์ว่ามันเป็นอย่างไร โดยใช้หลักการและเหตุผลมาประกอบเข้าด้วยกัน อย่าเชื่อในสิ่งที่เราฟังทั้งหมด เพราะมันอาจจะไม่ใช่ความจริงทั้งหมดก็ได้

ลิงตัวที่ 2 นั่งปิดตาหนึ่งตา ก็หมายความว่า รู้จักควบคุมการมองว่าอะไรควรมองหรือไม่ควรมอง อย่างเชื่อในสิ่งที่เรามองเห็นทั้งหมด เพราะบางครั้งสิ่งที่เรามองเห็นก็ไม่ใช่เรื่องจริงทั ้งหมด มองแล้วพิจารณาไตร่ตรอง อย่าตัดสินคนทันทีที่เห็น 

ลิงตัวที่ 3 นั่งปิดปากครึ่งปาก ก็หมายความว่า รู้จักควบคุมการพูดว่าอะไรควรพูดหรือไม่ควรพูดอย่างไ ร การเป็นผู้บริหารหรือผู้ปฏิบัติงานก็ตาม ควรจะไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะพูดอะไรออกมา เพราะบางครั้งคำพูดของเราอาจจะไปกระทบกับบุคคลอื่นโด ยไม่รู้ตัว หรืออาจจะนำความเสียหายมาสู่องค์กรได้ เพราะฉะนั้นการที่เราจะทำอะไรก็ควรจะคิด และพิจารณาให้ดีก่อนที่จะพูดออกไป .... 
   
ภาพปริศนาธรรม "ลิงสามตัว"

สุญญตาธรรม

เปรียบจิตคน เหมือนลิง กลิ้งไปมา
หัดปิดหู ปิดตา ปิดปากบ้าง
ไม่ยินดี ยินร้าย สิ่งต่างต่าง
ปล่อยจิตวาง ว่างไว้ ไร้ตัวกู

เมื่อจิตว่าง วางได้ ไร้ตัวตน
ไม่ต้องมัว สะละวน ปิดตาหู
มีสิ่งใด ให้เห็น ให้ตาดู
สักแต่รู้ จิตไม่ยึด ไม่เกาะตาม

อันความทุกข์ มีได้ เพราะใจยึด
ดิ้นไม่หลุด ติดพัน เพราะใจหาญ
กล้าไปแต่ง เป็นตัวกู ของกูตาม
มีแต่พาล ให้เกลือกกลั้ว ในชั่วดี

อันจิตว่าง ใจว่าง ตามแต่เดิม
ไม่ต้องเสริม ไม่ต้องตัด ให้บัดสี
ปล่อยจิตใจ เป็นธรรม- ชาติดี
ทุกอย่างมี ล้วนไม่หลุด ไม่ติดใคร

อันความว่าง ว่างอยู่แล้ว ตามธรรชาติ
ไม่ต้องอาจ ไปเสริมแต่ง ให้ว่างใหม่
ธรรมชาติ ล้วนสมบูรณ์ อยู่ภายใน
หัดเข้าใจ เช่นนั้นเอง ในตัวเรา

หัดฝึกจิต ให้แยบคาย เมื่อผัสสะ
ใช้ตบะ ใช้ปัญญา อย่าได้เขลา
เมื่อกระทบ อย่ากระเทือน เป็นตัวเรา
ปล่อยให้เขา เป็นธรรม ของเขาเอย

อันความรู้ ในธรรมขั้น สุญญตา
อย่าเพ่งหา ในที่ใด สหายเอ๋ย
ตถตา แจ้งอยู่แล้ว ตามที่เคย
ฝึกให้เคย ทุกสิ่งว่าง แล้วในตัว

นพ.ดิลก พูนสวัสดิ์